จากการศึกษาพบว่า
ค่านิยมของสังคมชาวเขมร (จากประเทศเขมรเดิม)
ต่อลูกสาวก็คือการรักษาความบริสุทธิ์จนกระทั่งแต่งงานและการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่ดี
เด็กชายชาวเขมรเท่านั้นที่จะได้รับการส่งเสริมให้เรียนหนังสือและได้รับการประเมินค่าสูง
เพื่อจะได้มีโอกาสเลือกทำงานนอกบ้านที่ดีเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ดังนั้นเด็กหญิงเมื่อโตขึ้นก็จะแต่งงานอยู่ดูแลงานบ้าน เลี้ยงลูก
จึงไม่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียน
ในเรื่องของการศึกษาและการขัดเกลาทางสังคมนั้น
พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกสาวของตนไปเรียนหนังสือเพราะเกรงว่าจะเป็นสาเหตุทำให้เธอเขียนจดหมายไปหาคนรักได้
ซึ่งถือว่าเป็นการทำให้ครอบครัวเสียหน้ามาก
การรักษาความบริสุทธิ์ของหญิงสาวมีความสำคัญต่อการมีหน้ามีตาของครอบครัวมาก
เด็กสาวจึงถูกควบคุมความประพฤติมากกว่าเด็กชาย
เมื่อเด็กสาวชาวเขมรมีประจำเดือนครั้งแรก
จะต้องเข้าสู่พิธี "การเข้าสู่ความมืด"
โดยถูกขังไว้ในห้องเป็นเวลานานราว
21-90 วัน
ระหว่างนี้จะรับประทานข้าว
งา และมะพร้าวเป็นอาหาร
ผู้หญิงที่อยู่ในพิธีนี้เป็นระยะเวลานานกว่าคนอื่นจะกลายเป็นผู้น่าพิสมัยของชายหนุ่ม
และจะทำให้เธอมีค่าตัวสูงเมื่อยามมั่นหมาย
อนึ่ง
เด็กหญิงจะได้รับการอบรมให้มีลักษณะขี้อาย
เก็บตัว
และไม่แสดงออกในเรื่องต่าง
ๆ อย่างไรก็ตาม
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงเขมรทุกคนกระทำตามแบบอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
มีบางคนหนีไปกับคนรัก
หรือปฏิเสธการแต่งงานกับชายที่พ่อแม่เลือกไว้ให้
ซึ่งเรื่องราวเช่นนี้มีปรากฏในนิทานพื้นบ้าน
วรรณกรรม
บทเพลงและภาพยนต์สมัยใหม่
เมื่อครอบครัวอพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา
สภาพทางเศรษฐกิจยังผลให้สามีและภรรยาชาวเขมรต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว
ทัศนคติจึงเปลี่ยนเป็น "ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด"
พ่อแม่ชาวเขมรจึงเห็นว่าการศึกษามีความสำคัญต่อทั้งเด็กชายและเด็กหญิงเพื่อให้พวกเขาจะได้มีโอกาสที่ดีในการเลือกงานอาชีพในอนาคต
อย่างไรก็ดีเด็กผู้หญิงก็ยังคงถูกคาดหวังให้ช่วยงานบ้านและดูแลน้อง
ๆ
หากพวกเธอละเลยก็จะถูกแม่ดุว่า
"จะไม่มีใครแต่งงานกับเธอ"
|