เมื่อได้รับรายชื่อผู้นำที่เรียงลำดับ
1-20
แล้วก็พิจารณาดูว่าครูอยู่ในกลุ่มหรืออยู่ลำดับที่เท่าไหร่และกี่คน
จากนั้นก็ศึกษาชีวประวัติของครูเหล่านั้นเพื่อดูว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกอาชีพนี้
และมีทัศนคติอย่างไร
ต่อการเป็นครูประชาบาล
ในขั้นสุดท้าย
ศึกษาถึงระบบราชการ
ศึกษาชุมชน และเป้าหมายของความสำเร็จของการเป็นครู
ผลการวิเคราะห์พบว่าระบบราชการไม่มีส่วนเป็นแรงจูงใจให้ครูเข้าไปร่วมกิจกรรมของชุมชนในระดับสูงสุดเพราะระบบราชการกำหนดแรงจูงใจ
เช่นการให้รางวัล
การเลื่อนตำแหน่งความดีความชอบและการได้รับเงินเดือนขึ้นสองขั้น
มีผลในทางลบต่อการเข้าไปมีส่วนร่วม
ในการพัฒนาชนบทและในกิจกรรมของชุมชน
บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานการวิจัยทั้งหมด
ตัวอย่างที่
2
การศึกษา
เพศ
และความขัดแย้งระหว่างวัยของชาวเขมรอพยพ
Nancy
J. Smith-Hefner, "Education, Gender, and Generational Conflict among
Khmer Refugees," Anthropology and Education Quarterly 24:2 (June
1993), pp. 135-158
ผู้เขียนเริ่มต้นบทความด้วยการกล่าวว่าในปัจจุบัน
การวิจัยของนักสังคมวิทยาได้ก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อผลการเรียนของเหล่าชนกลุ่มน้อย
กลุ่มต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา
แต่งานวิจัยดังกล่าว
ได้ผลสรุปที่ไม่ค่อยตรงกันมากนักในเรื่องอิทธิพลทางสังคมที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของชนกลุ่มน้อย
ในส่วนของงานของนักชาติพันธุ์วิทยา
(หรือนักมานุษยวิทยา)
ได้พุ่งความสนใจไปที่ปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยทางประวัติศาสตร์สังคมเพื่ออธิบายว่าทำไมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กเขมรอพยพจึงแตกต่างจากชนกลุ่มน้อยที่อพยพไปจากเอเซียตะวันออก
(จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี)
และจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ในบทความนี้ประกอบด้วยเรื่องราวของผู้อพยพชาวเขมร
อันเป็นการศึกษาชนกลุ่มน้อย
บทบาททางเพศ
ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์
และความขัดแย้งระหว่างวัย
เพื่อที่จะค้นหาเหตุผลที่ว่า
ทำไมเด็กสาวชาวเขมรจึงออกจากโรงเรียนก่อนจบการศึกษาในอัตราร้อยละที่สูงมาก
ผู้เขียนใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา
(Ethnographic study)
กับชาวเขมรอพยพเป็นเวลา 30
เดือน
|