ข.
Archival and demographic collection
หมายถึงการเก็บข้อมูลที่มีปรากฏหรือได้รับการบันทึกไว้แล้วหรือเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นไว้เพื่อการนับเลข
หรือรอยสักบนร่างกายของประชากรที่ถูกศึกษา
ค.
Physical trace collection หมายถึง
ศึกษาข้อมูลที่เป็นวัตถุโบราณ
เครื่องมือที่หักพัง
กระเบื้องเก่า ๆ ที่แตก
ลายนิ้วมือนิ้วเท้า
และสิ่งอื่นใดที่ปรากฏอยู่ในและบริเวณใกล้เคียงกับสนามที่ศึกษา
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักวิจัยที่จะสืบสาวหาเรื่องราวย้อนยุคไปในอดีต
อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจถึงพฤติกรรมทางสังคมของคนเหล่านั้นได้มาก
ประการสุดท้าย Pophams
กล่าวว่า
หากนักวิจัยทางการศึกษา
ได้นำวิธีวิทยาการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วิทยานี้ไปใช้
จะได้รับข้อมูลที่ลุ่มลึกและมีคุณค่ายิ่ง
จะช่วยให้สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของโครงการพัฒนาการศึกษาได้ดียิ่งขึ้น
ที่กล่าวมานี้
เป็นความพยายามของนักการศึกษาที่พยายามจำแนกและตั้งชื่อเทคนิค
ต่าง ๆ
ในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ
อันจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งและช่วยปรับปรุงเทคนิคทั้งที่เป็นแบบรายการที่มีโครงสร้าง
(structured schedules)
มากขึ้นเพื่อลดอคติและก่อให้เกิดความรัดกุมในการเก็บข้อมูล
ทำให้สามารถดำเนินการวิจัยให้ได้รับผลตรงกับเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเทคนิคที่นักมานุษยวิทยาได้เรียนรู้และสำนึกอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ทำวิจัยเก็บข้อมูล
เพราะหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
เป็นประเด็นที่อยู่ในเนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนรู้ก่อนการออกไปทำงานในสนาม12
อนึ่ง อาจมีคำถามว่า
อคติจะเกิดขึ้นไหม
หากผู้วิจัยจะไปทำงานการวิจัยในหมู่บ้านเกิดหรือสถานที่ทำงานที่ตนสังกัดอยู่
คำตอบอาจแตกต่างกันออกไป
แต่โดยแท้จริงแล้วผู้วิจัยสามารถทำการศึกษา
ณ ที่แห่งใดก็ได้
หากได้รับการฝึกฝนทั้งเนื้อหาและวิธีวิทยาการวิจัยมาอย่างดี
เพราะผู้วิจัยจะเป็น "คนใหม่"ในสังคมที่เขากำลังศึกษา
อย่างไรก็ดี
หากผู้วิจัยหลีกเลี่ยงที่จะทำการศึกษาชุมชนบ้านเกิด/สถานที่ทำงานของตนได้ก็น่าจะเป็นการดี
ทั้งนี้เพราะ (1)
เป็นสถานที่ที่ตนรู้เรื่องราวต่าง
ๆ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
จึงไม่น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องทำการวิจัยอีก
และ (2) อาจมีการใช้อิทธิพล
และ/หรือสายใยความสัมพันธ์
(social network)
ที่จะส่งผลให้งานวิจัยเกิดอคติได้ง่าย
ดังนั้น
สนามที่ศึกษาควรเป็นสถานที่ที่อยู่ข้างเคียง
หรือสถานที่อื่นที่ตนไม่รู้จักมาก่อน
อาจจะได้รับผลการวิจัยที่น่าสนใจยิ่ง
|