ภาคผนวก วิธีวิทยาการวิจัยเชิงมานุษยวิทยา>> หน้า 11

               

                (6)                ผู้วิจัยควรเรียนรู้ภาษาถิ่นของประชากรที่ไปศึกษา ศัพท์ วลีและคำแสลงที่เขาพูดกันควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ภายใต้บริบทของพวกเขา ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจชนที่ไปศึกษาอย่างถ่องแท้

                (7)                การศึกษาเชิงมานุษยวิทยาเป็นการศึกษาเฉพาะรายเฉพาะกรณี (case study) ที่มองภาพในความลุ่มลึกของสังคม/กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นผู้วิจัยจะต้องระมัดระวังในการสรุปผลและใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่คล้ายคลึงกันของสังคมอื่น ผลการศึกษาจะต้องเน้นว่าเป็นการศึกษาจากกรณีรายนั้น ๆ มากกว่าจะอ้างเป็นกฎสากลที่จะอธิบายสังคมอื่นได้ทุกแห่ง

                 อย่างไรก็ตาม นักมานุษยวิทยามิใช่จะเข้าไปศึกษาชน/ชุมชนโดยปราศจากกรอบการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ ดังที่กล่าวแล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้เสียเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว เนื้อหาขององค์ความรู้ในสาขาวิชานี้จะกล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีทางสังคมและวัฒนธรรมที่ผู้รู้ได้เขียนขึ้น และมีตัวอย่างการศึกษาวิจัยวัฒนธรรมและสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีผู้เคยออกไปศึกษามากมายทั่วทุกมุมโลก ตลอดจน ข้อถกเถียงในเรื่องการใช้เทคนิคแต่ละประเภทในการเก็บข้อมูลด้านสังคมและวัฒนธรรมทุกแง่ ดังนั้น นักวิจัยในสาขานี้จะต้องศึกษาวิธีวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific method) ดังเช่นนักสังคมศาสตร์สาขาอื่นเรียนกัน จะต้องศึกษาทฤษฎีและแนวความคิดทางสังคมวัฒนธรรมที่มีปรากฏอยู่ จะต้องศึกษารายละเอียดในรายงานการวิจัยเรื่องชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มแต่ละเผ่าและทำการเปรียบเทียบ และจะต้องตั้งสมมติฐานสำหรับที่จะใช้ในการศึกษาของตนเองก่อนที่จะลงมือทำการศึกษา แต่เมื่อออกไปเก็บข้อมูลในสนาม ผู้วิจัยไม่ควรจะยึดติดอยู่กับกรอบเหล่านี้มากจนเกินไปจนไม่สามารถมองเห็นภาพปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นจริงได้ นักวิจัยควรเปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง ข้อมูลดังกล่าวอาจจะแปลกแตกต่างจากข้อมูลที่ผู้อื่นเก็บได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อสรุปและตั้งเป็นทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจยิ่งก็ได้