ภาคผนวก วิธีวิทยาการวิจัยเชิงมานุษยวิทยา>> หน้า 5

 

                ความสนใจเรื่องราวในด้านผลงานที่มนุษย์ผลิตขึ้น ของชนชาติอื่นหรือชนต่างเผ่า (other cultures) ที่แปลกแตกต่างจากของเราเองเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาในช่วงแรกเริ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคอาณานิคมที่ชาวยุโรปเดินทางออกไปสู่ดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกและยึดครองดินแดนเหล่านั้นเป็นอาณานิคมเพื่อที่จะส่งคนไปปกครอง ทำการค้าขาย และอาศัยอยู่ร่วมกับคนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ด้วยเหตุนี้ สาขาชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology) จึงเฟื่องฟูในยุคนี้เอง เหล่านักวิชาการต่างพยายามจัดความรู้ให้เป็นระบบ มีการตั้งทฤษฎีเพื่อใช้อธิบายลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมมากมายต่อมาได้กลายมาเป็นสาขามานุษยวิทยาขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง

                ในยุคต้น ความรู้ที่ได้รับมักมาจากคำบอกเล่าของชนพื้นเมืองเพียง 2-3 คน หรือจากการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าโดยปราศจากแบบรายการที่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีจุดหมายเฉพาะ และขาดกรอบแนวคิดทางทฤษฎีรองรับ กล่าวคือ จะเป็นการบันทึกปรากฏการณ์ที่ได้พบเห็นโดยไม่มีการไตร่ตรอง และมองซ้ำเพื่อตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนของข้อมูล ในกาลต่อมา เมื่อการพิสูจน์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้เจริญรุดหน้าโดยได้สร้างวิธีการศึกษาที่รัดกุมที่เรียกกันว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ขึ้นมา นักสังคมศาสตร์ต่างให้ความสนใจที่จะใช้วิธีการนี้ในการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ พยายามทำการศึกษาที่เป็นระบบ มีคำจำกัดความที่แน่นอน มีการเฝ้าสังเกตที่มีจุดหมายเฉพาะ มีการจำแนกปรากฏการณ์ต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่ จัดระเบียบปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกระจัดกระจายเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์เหล่านั้น มีการควบคุมสถานการณ์บางอย่างเท่าที่จะทำได้ มีการตั้งและทดสอบสมมติฐาน ตลอดจนการตั้งทฤษฎีเพื่ออธิบายสมมติฐานต่าง ๆ ทั้งนี้โดยมีการวิเคราะห์ต่อเนื่องกันไป เพื่อติดตามผลว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มีการติดตามต่อเนื่องจนเป็นการสะสมความรู้ให้เพิ่มพูนเพื่อประสงค์ที่จะตั้งเป็นทฤษฎีขึ้น1 หลักและวิธีการนี้ นักมานุษยวิทยาในฐานะที่เป็นนักสังคมศาสตร์แขนงหนึ่งก็ได้นำมาปรับใช้ในการศึกษาเรื่องคน สังคมและวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมอย่างจริงจัง