บทที่16  มานุษยวิทยาปฏิบัติการ  >> หน้า 2


                ในตอนปลายทศวรรษที่ 60 แห่งคริสต์ศักราช หรือราวปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา วิชามานุษยวิทยาได้ก้าวเลยจุดสุดยอดของความเจริญรุ่งเรืองของสาขาวิชานี้ไป ทั้งนี้เป็นเพราะความรู้เกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรมของสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกได้กระทำกันจนเกือบหมดสิ้น อนึ่ง สังคมดั้งเดิมซึ่งเคยเป็นสังคมหลักที่นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจได้เปลี่ยนแปลงสภาพกลายเป็นสังคมที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่า "วัตถุดิบ" ที่ศึกษาได้หมดสิ้นไป และประการสุดท้าย โลกทั้งโลกได้กลายเป็น "สังคมที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน "มากยิ่งขึ้นหรือที่เรียกกันว่า สังคมทุนนิยมโลก (2)

                ประการที่สอง ในยุโรปและอเมริกา ผู้จบการศึกษาสาขามานุษยวิทยาต่างหางานการสอนการวิจัยตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ยากยิ่งขึ้น จึงต้องออกไปหางานประเภทอื่นที่ไม่ได้ใช้วิชาชีพมานุษยวิทยาโดยตรง เช่น ทำงานในโรงพยาบาล ตำรวจ นักธุรกิจ บริหารบุคคล นักการตลาด นักพัฒนา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้ใช้ความรู้พื้นฐานทางมานุษยวิทยากับงานที่ทำ และสามารถทำให้หน้าที่การงานได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง

                ประการที่สาม นักมานุษยวิทยาในยุโรปและอเมริกาเริ่มหันมาสนใจศึกษาสังคมของตนเองอย่างจริงจัง และใช้ผลการศึกษาแก้ปัญหาการว่างงาน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติและชนกลุ่มน้อย การเคหะแห่งชาติ การสังคมสงเคราะห์ การศึกษา การใช้ที่ดิน และการสร้างนโยบายสังคม

                ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นยังผลให้เกิดความจำเป็นในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและการเรียนการสอนสาขาวิชามานุษยวิทยาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นคือ การหันมาเน้นมานุษยวิทยาประยุกต์มากขึ้น(3) ปัจจุบัน มีหนังสือ รายงานการวิจัย และการแนะแนวการศึกษาสาขามานุษยวิทยาปฏิบัติการ และคู่มือการประกอบอาชีพสำหรับผู้ศึกษาสาขาวิชานี้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการริเริ่มค้นคว้าและเขียนกันอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมา