เราอาจจำแนกแนวการศึกษาศาสนาออกเป็น
3 ประเด็นใหญ่ ๆ คือ
(1)
ศาสนาเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลในสังคมที่จะประพฤติและปฏิบัติในสิ่งที่ตนเชื่อถือ
(2)
ศาสนาเป็นเรื่องของพฤติกรรมของคนในสังคม
โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือของการรวมกลุ่มของคน
และบางคนอาจใช้ศาสนาเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมของตนเอง
(3)
ศาสนาเป็นเรื่องของพิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
ประการแรกนั้นนักมานุษยวิทยาต่างยอมรับความคิดและความเชื่อของคนที่มีต่อศาสนาว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
เช่น
ความเชื่อต่อพระพุทธรูป
พระที่ห้อยคอ ไม้กางเขน ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่งทางใจของแต่ละคน
ดังนั้น
การอธิฐานและการบนบานต่อสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอความคุ้มครองและปกป้องรักษาตัวเขาและครอบครัวจึงเป็นการกระทำตามศรัทธาของแต่ละบุคคล
ประการที่สอง
มีผู้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจและทรัพย์สมบัติ
ดังเราจะพบเสมอว่าศาสดาบางคนได้บอกให้คนอื่นว่า
ตนเองได้ฝัน
หรือพบเทวดาที่ศักดิ์สิทธิ์และเทวดาดังกล่าวได้ให้ตนนำเอาความคิดนี้มาเผยแพร่
ส่วนฤาษีบางตนที่ตั้งตนว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยอ้างว่า
ตนเองได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดที่จะทำให้คนตายกลายเป็นคนเป็น
และสามารถกำหนดโชคชะตาของคนได้
ในบางกรณี
หัวหน้าเผ่าหรือกษัตริย์ของสังคมบางสังคมต่างทำพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อให้คนเชื่อว่าตนเป็นคนที่พระเจ้าได้กำหนดให้มาปกครองกลุ่มคนนั้น
ๆ
หากใครไม่เชื่อและขัดขืนอำนาจ
พระเจ้าจะสั่งให้ลงโทษถึงตายได้
ประการสุดท้าย
ศาสนาเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางพิธีกรรมและความเชื่อเพื่อให้คนมาร่วมกระทำพิธี
นอกจากนี้ศาสนายังได้กำหนดวิถีความประพฤติ
ความคิด ความเชื่อ
ตลอดจนค่านิยมให้คนในกลุ่มปฏิบัติตาม
ดังเช่นคนที่นับถือศาสนาพุทธเชื่อว่าทุกคนเกิดมามีกรรม
กรรมนั้นเป็นผลมาจากการสร้างสมจากชาติปางก่อน
ดังนั้นในชาตินี้
คนจะร่ำรวยหรือจน
มีอำนาจวาสนาหรือเป็นข้าทาส
เป็นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น
อนึ่ง
ความเชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจ
เพื่อตรวจสอบดูว่ารูปแบบความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร
และความเชื่อดังกล่าวมีผลต่อจิตใจของสมาชิกในสังคมและการรวมกลุ่มทางสังคมอย่างไร(7)
|