การที่จะเป็นคนทรงประเภทวิญญาณแต่งตั้งนั้นจะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน
โดยปกติแล้วคน ๆ
นั้นจะต้องเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมานาน
จากนั้น
ก็จะพบกับสิ่งประหลาดหลายอย่างในขณะที่เจ็บป่วย
ต่อมา
วิญญาณก็จะเลือกให้เป็นคนทรง
แล้วผู้นั้นก็จะหายเป็นปกติ
นอกจากนี้ คน ๆ
นั้นจะต้องผ่านการฝึกหัดจากคนทรงที่มีประสบการณ์ก่อนที่จะกลายมาเป็นคนทรงสมบูรณ์
ปัจจุบัน
ความเชื่อถือในเรื่องวิญญาณลดน้อยลงมากเพราะคนเกาหลีส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองและประกอบอาชีพในด้านธุรกิจอุตสาหกรรม
ซึ่งต้องยึดถือหลักเหตุและผลตามกฎวิทยาศาสตร์
ดังนั้น
บทบาทของคนทรงจึงมีไม่มากนัก
ยกเว้นเราอาจจะพบเห็นในงานพิธีประจำชาติ
และในชนบทเท่านั้น
ส่วนคนรุ่นใหม่จะมองพิธีกรรมของลัทธิคนทรงในแง่ของการสันทนาการ
เพราะมีการร้องรำในแบบโบราณ
และคนทรงจะสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันสวยงาม
อันเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของชาติ
อย่างไรก็ตาม
นักวิชาการเกาหลีหลายท่านให้ทรรศนะว่า
ลัทธิคนทรงน่าจะเป็นรากฐานของความรู้สึกนึกคิดของคนเกาหลี
มากกว่าจะมีรากฐานมาจากศาสนาพุทธ
คริสต์ หรือขงจื้อ ทั้งนี้
ศาสนาหลักเหล่านั้นเป็นความเชื่อที่มาจากต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้
การค้นคว้าหาคำตอบเกี่ยวกับลัทธิคนทรงจึงได้กระทำกันอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็เพื่อจะค้นหาว่า
ระบบความคิดความเชื่อของคนเกาหลีมาจากไหน
และเป็นอย่างไร นั่นเอง3
2.
หลักลัทธิคำสอน
หลักคำสอนซึ่งถ่ายทอดจากปากต่อปากนั้นเป็นเสมือนกฎหมายในการป้องกันและปราบปราบความประพฤติของสมาชิก
รวมทั้งเป็นแนวทางให้คนปฏิบัติตาม
ได้แก่
(1)
ลัทธิการถือผี และวิญญาณ
ลัทธินี้เชื่อว่าทุกชีวิตเกิดขึ้นเพราะวิญญาณ
ดังนั้น จึงเชื่อถือผี
วิญญาณ ภูติผี
และอำนาจเหนือธรรมชาติ
รวมทั้งยอมรับว่าสิ่งมีชีวิตจะยังคงปรากฏ
อยู่ภายหลังที่คน
ๆ นั้นเสียชีวิตไปแล้ว
ลัทธินี้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า
Animism
(2)
ลัทธิที่เชื่ออำนาจลึกลับ
เป็นความเชื่อเรื่องอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ
อาทิเช่น ชาวเกาะมาเลนีเซียมีความเชื่ออำนาจลึกลับที่สิงอยู่ในร่างมนุษย์
หรือสัตว์
หรือสถานที่บางแห่ง
เป็นอำนาจที่มองไม่เห็นตัว
ดังเช่น ไฟฟ้า
ซึ่งอำนาจนี้อาจโผล่ไปยังที่หนึ่งและเปลี่ยนไปยังที่อีกแห่งหนึ่งได้
อำนาจประเภทนี้สามารถรักษาไว้และถ่ายทอดไปให้อีกผู้หนึ่งได้
อนึ่ง
อำนาจชนิดนี้สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาและสามารถควบคุมบางสิ่งไม่ให้เกิดขึ้นได้
|