ผู้อ่านอาจเกิดข้อสงสัยว่า
การศึกษาเรื่องการเมืองของนักมานุษยวิทยานั้นมีขอบเขตกว้างขวางมากและอาจก่อให้เกิดความสับสนว่า
ตัวอย่างของสังคมที่กำลังพูดถึงนั้นมีลักษณะเช่นไร
เพราะคำว่าสังคมนั้นอาจหมายถึงสังคมเล็ก
ๆ สังคมเผ่าดั้งเดิม
หรืออาจหมายถึงรัฐในสมัยปัจจุบันก็ได้
ด้วยเหตุนี้นักมานุษยวิทยาจึงได้แบ่งชนิดของระบบการเมืองของสังคมต่าง
ๆ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก.
สังคมที่ปราศจากอำนาจที่มาจากส่วนกลาง
ไม่มีกลไกทางการปกครองที่เป็นทางการ
การตัดสินความและคดีต่าง
ๆ
ไม่ได้ตั้งขึ้นเป็นสถาบัน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นสังคมที่ไม่มีรัฐบาล
สังคมประเภทนี้จึงไม่มีการแบ่งตำแหน่ง
ยศ สถานภาพ
ออกจากกันโดยชัดเจน
อิทธิพลของเครือญาติมีบทบาทเหนือสถานภาพ
ตำแหน่ง ยศศักดิ์
และความมั่งคั่ง
ข.
สังคมที่มีอำนาจแผ่ออกไปจากศูนย์กลาง
มีกลไกของการบริหารงาน
มีสถาบันศาลอย่างครบถ้วน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือสังคมที่มีรัฐบาลกลาง
สังคมประเภทนี้มีการแบ่งความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน
การมีสิทธิพิเศษ
และสถานภาพอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้อำนาจอันชอบธรรมออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด(1)
ผู้เขียนจะไม่มุ่งพิจารณาศึกษาเฉพาะสังคมที่มีลักษณะเฉพาะดังที่กล่าวไว้ทั้งสองประเภท
แต่จะได้กล่าวรวม ๆ
ถึงปรัชญาทางมานุษยวิทยาที่มีต่อการวิเคราะห์ลักษณะทางการเมือง
โดยนำเอาวิธีการวิเคราะห์เชิงมานุษยวิทยาเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ศึกษาระบบการเมืองของสังคมในประเทศที่กำลังพัฒนา
หัวข้อที่นักมานุษยวิทยาสนใจศึกษา
เนื่องจากการเมืองในสังคมของประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่
มิได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระอย่างเห็นได้ชัด
สถาบันทางการเมืองมักเกี่ยวพันกับสถาบันทางด้านเศรษฐกิจ
สถาบันครอบครัว
ขนบธรรมเนียมประเพณี
ความเชื่อและศาสนาอย่างแน่นแฟ้น
ตลอดจนความเกี่ยวพันทางด้านประวัติศาสตร์ของแต่ละสังคม
ดังนั้นจึงก่อให้เกิดปัญหาแก่นักวิชาการที่มุ่งศึกษาสถาบันใดสถาบันหนึ่งโดยเฉพาะ
ในขณะเดียวกัน
การศึกษาจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่พิจารณาครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ด้านอื่น
และพิจารณาถึงอิทธิพลของสถาบันอื่นที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางด้านการเมืองบ้าง
หัวข้อต่อไปนี้เป็นเนื้อหาที่นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาสถาบันการเมืองของสังคม
|