เมื่อเกาหลีได้รับเอกราชและตั้งเป็นประเทศเอกราช
กฎหมายครอบครัวก็ยังคงเป็นไปคล้ายคลึงกับกฎหมายของญี่ปุ่น
คนทั่วไปก็ยังยึดถือครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญทางสังคมและมีโครงสร้างและหน้าที่คล้ายคลึงกับอดีต
กล่าวคือ
ครอบครัวคือหน่วยที่ทำหน้าที่สืบทอดเชื้อสายจากบรรพบุรุษ
ดังนั้น
แต่ละตระกูลจะมีสมุดบันทึกลำดับสายตระกูลของตน
หรือที่เรียกว่า "โชคบู"
และเก็บไว้ให้ลูกหลานเพื่อให้รับรู้และบันทึกผู้สืบต่อสายเลือดเดียวกันต่อไป
ปัจจุบัน
เนื่องจากเกาหลีใต้ได้พัฒนาเศรษฐกิจเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองและประกอบอาชีพในงานอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
รวมทั้งต้องติดต่อกับคนทั่วโลก
ทำให้การยึดถือหลักของขงจื้อและการยอมรับอำนาจของบิดาเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามความจำเป็นของสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น
ศาสตราจารย์ฮอง ซังชิค
แห่งมหาวิทยาลัยเกาหลี
ได้ศึกษาทิศทางของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิดและพยายามค้นหาดัชนีเพื่อชี้ให้เห็นถึงระดับของการเปลี่ยนทัศนคติต่อครอบครัวเมื่อปี
คศ.1984 (พ.ศ.2527) ดังนี้
"ในแง่ของทัศนคติต่อความเคารพเชื่อฟังและกตัญญูของลูกต่อพ่อแม่นั้น
คนยุคใหม่มีการเชื่อฟังพ่อแม่ลดลง
ในขณะเดียวกัน
คนต่างตระหนักถึงการแสวงหาความสุขสบายของครอบครัวของตนเองมากขึ้น
นอกจากนี้
ทัศนคติต่อการเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่ชราก็มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด"
ศาสตราจารย์ฮองจึงกล่าวสรุปว่า
"ปัจจุบัน
คนเกาหลีมีทัศนคติเป็นไปตามลักษณะของปัจเจกชนนิยมมากขึ้น"
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
คนจะคิดถึงตนเองและครอบครัวของตนมากกว่าจะคิดถึงพ่อแม่และญาติมิตรนั่นเอง(4)
แบบแผนการแต่งงานและครอบครัว
ลักษณะวิธีแต่งงาน
ตามปกติ
การแต่งงานมักจะแบ่งออกเป็น
3
ลักษณะตามรูปแบบของวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม
มีดังต่อไปนี้
1.
การฉุดคร่า
ชายต้องการหญิงมาเป็นภรรยา
จะต้องไปฉุดคร่าลักพาตัวหญิงสาวมาโดยไม่คำนึงว่าหญิงหรือญาติของหญิงจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
ประเพณีนี้ยังมีประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในหมู่ชนเผ่าต่าง
ๆ
เพราะคนในกลุ่มตระกูลเดียวกันจะแต่งงานกันไม่ได้
จึงต้องไปหาภรรยาจากตระกูลอื่นโดยใช้กำลังฉุดคร่าลักพาตัว
|