ในหลักความจำเป็นที่จะต้องรับนั้นก็มีความสำคัญเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน
กล่าวคือ
การปฏิเสธที่จะรับหมายถึงการไม่ยอมรับสัมพันธภาพของอีกฝ่ายหนึ่งหรือเป็นการประกาศสงครามกับผู้ให้นั่นเอง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากปรากฏการณ์ดังนี้
ได้แก่ การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างเมืองในอดีตในกรณีที่พระเจ้าล้านนาต้องการจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้าล้านช้าง
พระองค์จะต้องส่งพระธิดาองค์ใดองค์หนึ่งไปเป็นบรรณาการแก่พระเจ้าล้านช้าง
หากพระเจ้าล้านช้างปฏิเสธที่จะรับพระธิดาของพระเจ้าล้านนาเป็นพระสนม
นั่นหมายถึงสงครามระหว่างนครทั้งสองจะต้องเกิดมีขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม
พระเจ้าล้านช้างจะไม่เพียงแต่รับพระธิดาของพระเจ้าล้านนาฝ่ายเดียว
พระองค์จำเป็นจะต้องส่งพระธิดาของพระองค์กลับไปให้แก่พระเจ้าล้านนาเป็นการตอบแทน
ซึ่งตรงกับหลักความจำเป็นที่จะต้องตอบแทนแก่ผู้ให้
ทฤษฎีของมอสส์ได้รับความสนใจจากนักมานุษยวิทยาร่วมสมัยเป็นอันมาก
เพราะเขาเป็นคนแรกที่ตั้งกฎเกณฑ์ของการศึกษาเรื่องเศรษฐกิจการแลกเปลี่ยนที่กอร์ปไปด้วยหลักตรรกศาสตร์โดยนำเอาข้อมูลของสังคมต่าง
ๆ
มาวิเคราะห์และสรุปเป็นกฎสากลเพื่อใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม
หลังจากที่มาร์เซล มอสส์
ได้เสนอแนวความคิดของเขาให้ผู้ร่วมวิชาชีพเดียวกันเพื่อใช้เป็นแนวความคิดในการถกเถียงกันแล้ว
นักมานุษยวิทยาอีกหลายคนก็ได้เสนอทฤษฎีของเขา
อาทิเช่น A.W. Gouldner
ผู้เสนอแนวคิดเรื่องบรรทัดฐานของการแลกเปลี่ยน
(a norm of reciprocity) และ George Homans
ผู้เสนอแนวความคิดเรื่อง
พฤติกรรมทางสังคมเป็นเสมือนการแลกเปลี่ยน
(social behavior as exchange)
ในขณะเดียวกันแต่ละคนก็ได้ใช้ข้อมูลมาสนับสนุนแนวความคิดของตน
ความพยายามเหล่านี้มีความสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าในการศึกษาเชิงมานุษยวิทยาเป็นอย่างยิ่ง
ในที่นี้
ผู้เขียนขอเสนอแนวความคิดของศาสตราจารย์
มาร์แชล ซาลินล์
ผู้ซึ่งได้เสนอแนวความคิดของเขาไว้อย่างน่าสนใจ
ดังนี้
การแลกเปลี่ยนในสังคมดั้งเดิมนั้นเป็นการกระจายผลิตผลทางเศรษฐกิจที่มีบทบาทแตกต่างไปจากการเคลื่อนไหวของสินค้าและบริการในสังคมสมัยใหม่
โดยทั่วไปแล้ว
การแลกเปลี่ยนจะปรากฏอยู่
2 รูปแบบ คือ
|