บทที่9  ระบบเศรษฐกิจเทคโนโลยีและสภาพนิเวศ  >> หน้า 14

                2. ในสังคมที่มีการปลูกพืชไร่นั้น การทำไร่เลื่อนลอยหรือการถางป่าแล้วเผา ให้ที่ดินแถบไหล่เขาโล่งเตียนเพื่อใช้ในการเพาะปลูกมีปรากฏในแถบเขตร้อนบริเวณเส้นศูนย์สูตรตาม บริเวณไหล่เขา เช่น ภาคเหนือของไทย ลาว พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไหล่เขาลุ่มน้ำ อเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ เป็นต้น นักมานุษยวิทยาชื่อ ดีเรก ฟรีแมน ได้ศึกษาชนชาวอีบานที่อาศัยอยู่บนเกาะซาราวัค ซี.เอช.คองคลิน ศึกษาวิจัยชาวฮานูนูบนเกาะฟิลิปปินส์ และ เอฟ. เจแมน ทำการศึกษาชีวิตของชาวชินที่อาศัยอยู่ตอนเหนือของประเทศพม่า ทั้งสามได้บรรยายลักษณะการทำไร่เลื่อนลอยของชนสามสังคมดังกล่าวว่า คนพวกนี้อาศัยอยู่บนไหล่เขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ละหมู่บ้านจะประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนไม่มากนัก ราว 10-20 ครัวเรือน ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ต่ำ ชาวอีบานจะถางป่าด้วยมีดและขวาน จากนั้นจะเก็บกิ่งไม้ใบไม้แห้งมาเผาให้โล่งเตียน ขั้นต่อมาก็จะใช้ไม้เจาะตามพื้นดินและหยอดเมล็ดข้าวตามหลังแล้วใช้เท้ากลบดิน เมื่อถึงฤดูฝนเมล็ดข้าวก็จะงอกขึ้น

                การทำไร่เลื่อนลอยนี้ต้องใช้กำลังงานถึง 3,180 ชั่วโมงต่อคนต่อปีทีเดียว สมาชิกของครัวเรือนทุกคนต้องทำงานหนัก มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนตลอดเวลา ยามฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่าล้วนเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตทั้งสิ้น คนเหล่านี้จะแบ่งงานกันแบบง่าย ๆ เช่น ผู้ชายจะทำงานที่ใช้แรงงานมาก เป็นต้นว่า แผ้วถางป่า และซ่อมแซมบ้านเรือน ส่วนผู้หญิงและเด็กจะหุงหาอาหารและปลูกข้าว

                การทำไร่เลื่อนลอยก่อให้เกิดการพังทะลายและหน้าดินถูกชะล้างเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดดินจืดภายใน 1 - 2 ปี ชาวไร่เหล่านี้ก็จะย้ายไปแผ้วถางป่าแห่งอื่นเรื่อยไป กล่าวกันว่า ที่ดินที่ถูกทิ้งร้างไว้จะกลับมาทำการเพาะปลูกใหม่อีกครั้งในช่วงเวลา 7 - 11 ปี

                3.ในสังคมเกษตรกรรมบนพื้นราบนั้น ผู้อ่านสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามหมู่บ้านเกือบทุกแห่งในประเทศไทยของเรา และในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก นักมานุษยวิทยามากมายที่ให้ความสนใจศึกษาสังคมชาวนา (peasant society) คนในสังคมประเภทนี้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่อย่างถาวรใกล้เคียงกับที่ดินเพาะปลูก ที่ดินเป็นหน่วยพื้นฐานในการรวมกลุ่มทางสังคม ที่ดินเป็นสินทรัพย์และเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีแก่อนุชน ชาวนามีวิถีชีวิตแบบชนบท เทคนิคในการเพาะปลูกได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ส่วนการทำงานนั้นมีการแบ่งงานกันบ้างแต่มิใช่เป็นการแบ่งตามความสามารถพิเศษเฉพาะ ทั้งนี้เพราะคน ๆ หนึ่งสามารถทำงานแทนกันได้ทุกอย่างนับตั้งแต่ไถนาไปจนถึงขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง สำหรับวัฒนธรรม