บทที่9 ระบบเศรษฐกิจเทคโนโลยีและสภาพนิเวศ
>>
หน้า 9
|
|
จะเห็นได้ว่า
จำนวนประชากรของเมืองแอชตันได้เพิ่มจำนวนขึ้นในขณะที่มีการขุดถ่านหินจากเหมืองมากขึ้นด้วย
ผลสะท้อนของปรากฏการณ์เหล่านี้มีผลสืบเนื่องไปยังขนาดของเมืองและลักษณะของบ้านพักอาศัยของคน
ในปี 1951 มีบ้านจำนวน 4,000 หลัง
ซึ่งมีทั้งตึกใหญ่ของเจ้าของเหมือง
ไปจนถึงบ้านซึ่งปลูกด้วยการเคหะที่ชานเมือง
และบ้านของช่างฝีมือเป็นแถว
ๆ
ลักษณะของที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่นและเป็นห้องครัวไปในตัว
ห้องนอน ห้องน้ำ
และห้องใต้ดิน
ผู้ที่อาศัยในแต่ละหน่วยของตัวอาคารจะใช้ลิฟท์ร่วมกัน
จึงดูเสมือนว่าคนอาศัยอยู่ตาม
"รู" และแอชตันก็ได้รับ
ฉายาว่าเป็น "รูหรือรังที่สกปรก"
คนแอชตันหมายถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองแอชตัน
แต่มิได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะต้องทำงาน
เล่น
ซื้อของในตัวเมืองนี้เท่านั้น
เพราะเมืองแอชตันไม่ใช่เป็นเมืองปิด
มีเมืองคาสเติลทาวน์
ซึ่งมีพลเมือง 23,000
คนอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อยและห่างออกไปอีกนิดหน่อยก็จะเป็นเมืองใหญ่ชื่อคาลเดอร์ฟอร์ด
ซึ่งมีพลเมืองถึง 43,000 คน
นอกจากนี้ยังมีเมืองอื่น
เช่น ฟูลวูด และ บานสเล่ห์
ตั้งอยู่ใกล้เคียงในบริเวณเดียวกัน
ผู้หญิงจากเมืองแอชตันต้องออกไปซื้อข้าวของและไปทำงานในเมืองเหล่านี้อยู่เสมอ
ๆ
ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมหลักเป็นเมืองที่ผลิตถ่านหิน
โอกาสของการหางานทำของผู้หญิงจึงมีน้อย
ในปี คศ. 1911
จำนวนแรงงานที่ทำงานมี 38
เปอร์เซนต์ และในปี 1931
มีแรงงานที่ทำงาน 42
เปอร์เซนต์
ในจำนวนนี้มีแรงงานของผู้หญิงถึง
16 เปอร์เซนต์
งานที่ผู้หญิงทำก็คืองานบ้านซึ่งต้องออกไปทำงานในเมืองอื่น
ในปี
1944
ได้มีการวางแผนเพื่อให้เกิดการจ้างแรงงานของผู้หญิงขึ้น
จนกระทั่งมีการตั้งโรงงานเย็บเสื้อผ้าเล็ก
ๆ 2 แห่ง
และโรงงานทำมักกะโรนีอีก 1
แห่งเมื่อปี 1951
แต่จำนวนของการจ้างแรงงานก็เพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย
เช่น
โรงงานทำมักกะโรนีจ้างคนเพียง
10 คนเท่านั้น
ส่วนโรงงานเย็บเสื้อผ้าได้จ้างแรงงาน
167 และ 29 คน ตามลำดับ
ในขณะที่มีแรงงานหญิงที่สามารถทำงานได้
(อายุระหว่าง 15 - 65 ปี) มีถึง 4,826
คน
จำนวนแรงงานที่เหลือจึงต้องออกไปหางานทำที่อื่น
แรงงานชายที่อยู่ในวัยระหว่าง
15 - 65 ปี จะทำงานในโรงงาน
และอาชีพที่เด่นก็คือการขุดถ่านหิน
ในปี คศ. 1911 มีจำนวนแรงงานชาย
76 เปอร์เซนต์
ที่ทำงานในเหมือง และในปี
1931 มี 68 เปอร์เซนต์
ไม่มีอุตสาหกรรมหลักอื่นใดอีก
นอกจากมีบางคนเท่านั้นที่ทำงานในโรงงานทอผ้า
ค้าขายและบริการอื่น ๆ
อีกเล็กน้อย
กรรมกรในเหมืองถ่านหินจำนวน
3,700 คน นั้น
มิได้เป็นคนแอชตันทั้งหมด
กล่าวคือ ในปี 1952 แรงงาน 2,300
คนทำงานในเหมือง 2 แห่ง
และมีแรงงานที่อาศัยอยู่ที่อื่น
600 คน
ซึ่งมาทำงานที่เหมืองนั้น
มีแรงงานกว่า 1,500
คนที่ต้องเดินทางไปกลับจากที่ทำงานและที่อยู่อาศัยโดยทางรถประจำทางทุกวัน
เขาเหล่านี้จะทำงานร่วมกันและมีที่อยู่อาศัย
โอกาสของชีวิต และ
ลีลาชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
ลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมดังนี้ทำให้ถือได้ว่าเป็นคนในชุมชนเดียวกัน
|