บทที่ 9 ระบบเศรษฐกิจเทคโนโลยีและสภาพนิเวศ >> หน้า 8


                 ในจังหวัดกาฬสินธุ์ หมู่บ้านนาเชือกเหนือได้รับน้ำชลประทานในการเพาะปลูกสามารถปลูกพืชได้ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ส่วนหมู่บ้านหนองกาวไม่ได้รับน้ำจากชลประทานเลย จึงปลูกข้าวได้เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น....(6)

                 ตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่าในสังคมเกษตรกรรม คนสามารถเอาชนะธรรมชาติได้บ้างแล้ว อิทธิพลสิ่งแวดล้อมมีบทบาทต่อชีวิตของมนุษย์น้อยลง ในขณะเดียวกัน คนจะพยายามสร้างระเบียบแบบแผนและแนวทางปฏิบัติทางวัฒนธรรมประเภทอื่นขึ้น อาทิเช่น การเตรียมอาหารที่พิถีพิถันมากกว่าเดิม มีการสร้างบ้านเรือนและถิ่นที่อยู่อาศัย มีหัวหน้ากลุ่มหรือผู้ปกครอง สังคม มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานอาชีพต่าง ๆ สร้างระบบความเชื่อและศาสนา และระบบการแบ่งงาน เป็นต้น อิทธิพลของแบบแผนความประพฤติหรืออาจเรียกว่า "วัฒนธรรม" ก็เข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของคนมากขึ้นตามลำดับ แต่เมื่อเราหันไปมองดูการดำรงชีวิตของคนในสังคมดั้งเดิมแล้ว ความสามารถทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการแสวงหาอาหารเพื่อการยังชีพ พวกเขาจะไม่มีเวลาเหลือพอที่จะมาสร้างวัฒนธรรมประเภทอื่น ๆ ได้อีก ด้วยเหตุนี้ การดำรงชีวิตของคนเหล่านี้จะต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติอยู่มาก

                 ค. สำหรับลักษณะของชุมชนเมืองนั้น สภาพการตั้งถิ่นฐานและการประกอบอาชีพจะมีลักษณะแตกต่างไปจากสังคมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังเช่นตัวอย่างของเมืองแอชตัน แอชตันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณเวสต์ไรดิงในมณฑลยอร์คเชีย ประเทศอังกฤษ การขยายตัวของเมืองแอชตันก็คล้าย ๆ กับเมืองอื่น ๆ ที่มีผลผลิตคล้าย ๆ กับเมืองอื่น และมีวัตถุดิบ คือ ถ่านหิน จำนวนประชากรได้ขยายตัวจาก 600 - 700 คน ในปี คศ. 1851 มาเป็น 13,925 คนในปี 1951

                 ในปี คศ. 1868 เหมืองถ่านหินที่ทำการขุดเป็นครั้งแรก ชื่อ แมนตัส ทำให้ประชากรทวีจำนวนขึ้นเป็น 2,265 คนในปี 1871 มีการขุดลึกและกลายเป็นเหมืองที่สองในปี 1885 ซึ่งประชากรมีจำนวน 7,528 คน (เมื่อสำรวจปี 1891) จนกระทั่งมีประชากรจำนวนสูงสุดเมื่อสำรวจสำมะโนประชากรในปี 1931 ถึง 14,955 คน

                 จะเห็นได้ว่า จำนวนประชากรของเมืองแอชตันได้เพิ่มจำนวนขึ้นในขณะที่มีการขุดถ่านหินจากเหมืองมากขึ้นด้วย ผลสะท้อนของปรากฏการณ์เหล่านี้มีผลสืบเนื่องไปยังขนาดของ