2.
ยุคแห่งการแสวงหา
ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่
19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
นักวิชาการหลายคนเริ่มมีทัศนคติไม่เห็นด้วยต่อการนำทฤษฎีวิวัฒนาการมาอธิบายเกี่ยวกับวัฒนธรรม
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ามีการค้นพบอารยธรรมที่มีความเจริญรุ่งเรืองตามภูมิภาคต่าง
ๆ
ของโลกในอดีตก่อนที่ประเทศในยุโรปจะรวมกันเป็นสังคมที่เป็นปึกแผ่นขึ้นมาเสียอีก
ดังตัวอย่างเช่น
ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมจีน
อารยธรรมอินเดีย
ความมั่งคั่งของอาณาจักรกรีก
โรมัน และอียิปต์
ความก้าวหน้าของนครวัด
นครธมในเขมรและอาณาจักรพุกามในพม่า
ตลอดจนอารยธรรมของชาวอินคา
ชาวมายา และชาวแอซเทคซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอเมริกากลางและอเมริกาใต้
เป็นต้น
นอกจากนี้
เมื่อมีการแยกการศึกษาระหว่างลักษณะทางชีวภาพกับวัฒนธรรมสังคมออกเป็น
2 สาขาอย่างเด่นชัด
ทำให้นักวิชาการสาขาวัฒนธรรมมีความเห็นว่า
ไม่น่าจะเลือกแนวคิดทฤษฎีวิวัฒนาการมาใช้ในการศึกษาวัฒนธรรม
ด้วยเหตุนี้
พวกเขาจึงพยายามหาแนวคิดใหม่เพื่อใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรม
ในช่วงระยะเวลานี้เองที่เกิดมีมุมมองหลากหลายดังเช่น
(โปรดดูรายละเอียดในบทที่
15)
(1) กลุ่มที่มองว่า
วัฒนธรรมของแต่ละสังคมมีลักษณะ
และมีแบบแผนเฉพาะ
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างจากสังคมอื่น
อันเป็นผลมาจากประวัติการก่อรูปแบบและการพัฒนาของวัฒนธรรมและสังคมนั้น
ๆ (Historical
Particularism) ฟรานซ์
โบแอสและอัลเฟรด โกรเบอร์ (Alfred
Kroeber)
เป็นผู้นำของกลุ่มนี้โดยได้สั่งสอนและฝึกหัดให้ลูกศิษย์เข้าใจถึงเหตุผลและวิธีการศึกษาที่สามารถเก็บข้อมูลลักษณะแบบแผนของวัฒนธรรมแต่ละสังคมอย่างละเอียด
นักวิชาการกลุ่มนี้บางคนยังได้ศึกษาต่อไปอีกว่า
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สังคมนั้น
ๆ
ตั้งอยู่จะมีอิทธิพลโดยตรงต่อการกำหนดรูปแบบทางวัฒนธรรมของสังคมนั้น
ดังเช่น
ชาวประมงจะสร้างวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการจับปลาและเกี่ยวกับทะเล
ในขณะที่ชาวเขาจะสร้างวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันบนภูเขาและวิถีชีวิตในด้านการเข้าป่าล่าสัตว์
เป็นต้น
|