(2) กลุ่มที่มองว่า
รูปแบบวัฒนธรรมที่ปรากฏขึ้นเป็นผลมาจากการแพร่กระจายมาจากสังคมอื่น
(Diffusionism) ดังนั้น
จึงพากันมุ่งศึกษาเรื่องการกระจายวัฒนธรรมจากสังคมหนึ่งไปยังสังคมอีกแห่งหนึ่ง
เช่น
มีการสันนิฐานว่าการสร้างปิรมิดของชาวมายาและแอซเทคในทวีปอเมริกาใต้น่าจะเป็นผลมาจากการกระจายวัฒนธรรมไปจากชาวอียิปต์โบราณ
นักวิชาการผู้นำของกลุ่มนี้
ได้แก่ อีเลียต สมิธ (G. Eliot Smith)
วิลเลี่ยม เปอร์รี (William J. Perry)
และริเวอร์ส (W.H.R. Rivers)
(3) กลุ่มที่มองว่าวัฒนธรรมมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับบุคลิภาพ
(Culture and ersona- lity)
คนกลุ่มนี้พยายามมองว่าแบบแผนของวัฒนธรรมของคนในแต่ละสังคมนั้นเป็นผลมาจากการอบรมสั่งสอนกันมาตั้งแต่เยาว์วัย
ทำให้แบบแผนของวัฒนธรรมแตกต่างกันออกไป
ผู้นำการศึกษาในกลุ่มนี้
ได้แก่ มาร์กาเรท มีด (Margaret
Mead) และรูธ เบนเนดิกท์ (Ruth Benedict)
(4) กลุ่มที่มองวัฒนธรรมในแง่มนุษย์นิเวศวิทยาหรือนิเวศวิทยาวัฒนธรรม
(Cultural Ecology)
นักวิชาการกลุ่มนี้เน้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ทั้งที่เป็นสภาพทางภูมิศาสตร์กายภาพและการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น
ๆ
อันส่งผลให้เกิดการปรับตัวและสร้างวัฒนธรรมตามหลักความสมดุลกับระบบนิเวศ
นักคิดที่สำคัญของกลุ่มนี้
ได้แก่ จูเลียน สจ๊วด (Julian Steward)
แอนดรู ไวดา (Andrew P. Vayda) และรอย
เรปพาพอร์ต (Roy A. Pappaport) เป็นต้น
หลังจากที่มีการศึกษาสังคมวัฒนธรรมทั่วโลกนับเป็นจำนวนหลายร้อยสังคมแล้ว
ยอร์จ เมอร์ดอค (George Peter Murdock)
ก็ได้นำผลวิจัยเหล่านั้นมาศึกษาเปรียบเทียบโครงการนี้เริ่มขึ้นในปี
คศ. 1937
โดยสถาบันวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติแห่งมหาวิทยาลัยเยลล์
ซึ่งได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติ
ข้อมูลทางภูมิศาสตร์
และข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมจำนวน
150 แห่ง
(และเพิ่มเป็น 250
แห่งในปี คศ. 1941)
มาจัดแยกประเภท ลักษณะ
และลำดับหัวเรื่อง
จากการศึกษาครั้งนี้ทำให้สามารถจัดบริเวณวัฒนธรรม
(cultural areas)
ว่าบริเวณใดของโลกที่มีแบบแผนวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน
นอกจากนี้
ยังสามารถจัดหัวข้อของโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลกอีกด้วย
|