ประการที่สี่
มีนักมานุษยวิทยาบางคนให้ความสนใจการวิเคราะห์สังคมตามแนวทฤษฎีของคาร์ล
มาร์กซ์
ผู้ซึ่งมองสังคมในแง่ของความขัดแย้งโดยใช้วัตถุเป็นตัวแปรหลัก
เช่น ทรัพย์สิน รายได้
อาชีพ
และใช้ปัจจัยการผลิตมาเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดชนชั้นและความขัดแย้งในสังคม
มิติใหม่ ๆ
ที่เกิดขึ้นนี้เอง
ทำให้สมาคมนักมานุษยวิทยาแห่งเครือจักรภพจัดการสัมมนาทางวิชาการภายใต้หัวข้อว่า
"ทิศทางใหม่ของวิชามานุษยวิทยาสังคม
ครั้งที่สอง"
ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
ในระหว่างวันที่ 4 - 11
กรกฎาคม คศ. 1973
การสัมมนาครั้งนี้ได้จำแนกแนวการศึกษาออกเป็นกลุ่ม
ๆ
และได้จัดพิมพ์หนังสือชุด
(A.S.A. Studies) ขึ้นหลายเล่ม เช่น
มานุษยวิทยาชีวสังคม
(Biosocial Anthropology) การวิเคราะห์ตามแนวทฤษฎีมาร์กซ์กับมานุษยวิทยาสังคม(17)
การแปลความหมายทางสัญลักษณ์
(The Interpretation of Symbolism)
บันทึกและเนื้อหา (Text and Content)
การปะทะสังสรรค์กับความหมาย
(Transaction and Meaning)
เทคนิคทางคณิตศาสตร์ (Numerical
Techniques) และทฤษฎีโครงสร้าง (Structuralism)
กล่าวโดยสรุป
ในประเทศอังกฤษและประเทศในเครือจักรภพ
นักวิชาการสาขานี้จะเรียกตัวเองว่า
นักมานุษยวิทยาสังคม
โดยได้ยึด "ความสัมพันธ์ทางสังคม"
เป็นตัวแปรหลักในการศึกษา
ซึ่งกลุ่มของความสัมพันธ์นี้เองที่จะเรียกรวมกันว่าเป็นสถาบันทางสังคม
และจะกลายเป็นโครงสร้างสังคมที่พวกเขาใช้เป็นหน่วยในการวิเคราะห์
มานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเรียกวิชานี้ว่า
มานุษยวิทยาวัฒนธรรม
โดยให้ความสนใจศึกษาวัฒนธรรมของคนที่อาศัยอยู่ในสังคมที่ตั้งอยู่นอกกระแสวัฒนธรรมของชาวยุโรปและชาวอเมริกัน
(คนผิวขาว)
วัฒนธรรมที่กล่าวถึงนี้มีขอบเขตการใช้ที่กว้างขวางมาก
ทั้งนี้เพราะมีการยึดถือความหมายที่ว่า
"วัฒนธรรมคือกิจกรรมทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น"
นั่นคือ
ทั้งเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในอดีตและในปัจจุบัน
ส่วนวิธีการศึกษาที่ใช้ก็คือ
"มองวัฒนธรรมทุกอย่างทั้งหมดเป็นภาพรวม"
(Holistic Approach)
และต้องเข้าไปเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วม
(participant observation)
ซึ่งต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคมที่ต้องการศึกษาช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ได้รับข้อมูลจริง
|