บทที่ 8 มานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม  >> หน้า 22


4.  ยุคปัจจุบัน

                ในปัจจุบัน สาขามานุษยวิทยาสังคมยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมเป็นหลัก กล่าวคือ ผู้ศึกษาจะต้องออกไปสังเกตแบบมีส่วนร่วมกับคนในสังคมที่ต้องการศึกษาช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง จากนั้นก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อเขียนรายงาน ส่วนวิธีการศึกษานั้น ส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในการมองความสัมพันธ์ของคนทั้งสังคม ในขณะที่บางกลุ่มนิยมเลือกใช้วิธีการศึกษาแบบปัจเจกบุคคล  อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้เรามักจะเห็นว่ามีการใช้วิธีการมองสังคมด้วยการผสมวิธีการศึกษาทั้งสองแบบ   ทั้งนี้เพราะมีความเห็นกันว่า  การวิเคราะห์แบบปัจเจกบุคคลสามารถให้ข้อมูลในรายละเอียด  และกระจ่างชัด   อย่างไรก็ตาม  พฤติกรรมของแต่ละบุคคลก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเป็นอิสระเกินขอบเขตข้อกำหนดของสังคมไปได้  ดังนั้น คนในสังคมก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนภายใต้กฎเกณฑ์ของสังคม (encapsulation) อยู่นั่นเอง(14)

                ประการที่สอง  นักมานุษยวิทยาชาวยุโรป  อเมริกา ฝรั่งเศสและคนผิวขาวยังคงมุ่งศึกษาสังคมวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่นอกทวีปยุโรปอยู่เป็นหลัก ในขณะที่นักมานุษยวิทยาของประเทศอื่นกลับสนใจศึกษาสังคมของตนเองเพื่อให้เข้าใจสังคมของตนดียิ่งขึ้น รวมทั้งได้นำผลการศึกษาไปใช้ในการพัฒนา  การจัดการศึกษา  และการสงวนรักษาสภาพแวดล้อม เป็นต้น  อนึ่ง นักมานุษยวิทยาจากบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็จะสนใจศึกษาสังคมของตนเอง(15) และออกไปศึกษาสังคมวัฒนธรรมของคนกลุ่มอื่นซึ่งรวมทั้งของไทยเราด้วย

                ประการที่สาม  นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 แห่งคริสต์ศักราชเป็นต้นมา  ได้เกิดมีแนวการมองสังคมวัฒนธรรมแบบใหม่ซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากทฤษฎีโครงสร้าง  โดยนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ  เลวิ - สตร็อสส์  ผู้ซึ่งกล่าวว่า "ไม่ว่าสังคมจะเป็นชนิดใดก็ตาม จิตของมนุษย์จะสร้างระบบโครงสร้างในการจำแนกความสัมพันธ์ออกเป็นหมวดหมู่" จะเห็นได้ว่า เขาพยายามอธิบายโครงสร้างทางสังคมว่ามีอิทธิพลมาจากโครงสร้างทางจิตซึ่งจะเป็นตัวการสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์16  งานของเลวิ - สตร็อสส์สร้างความฮือฮาและกลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่นักวิชาการชาวยุโรปและอังกฤษ (ดูรายละเอียดในบทที่ 15)