นักมานุษยวิทยาสังคมในยุคนี้ให้ความสนใจในการศึกษาสังคมดั้งเดิมที่ตั้งอยู่นอกทวีปยุโรปอย่างจริงจัง
โดยออกไปศึกษาวิจัยด้วยการไปอาศัยอยู่ร่วมกับคนในสังคมที่ต้องการศึกษา
หรือที่เรียกว่า "งานสนาม"
(field - work)
และได้เขียนงานการค้นพบไว้มากมาย
ทำให้ความรู้สาขาวิชานี้มีเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นยุคทองของวิชามานุษยวิทยาสังคมทีเดียว
ในด้านการบริหารงานของวิชานี้ในระดับมหาวิทยาลัยนั้น
มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดได้เปิดสอนวิชาชาติพันธุ์วิทยา
(Ethnology) ตั้งแต่ปี
คศ.1884 ต่อมา มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
เปิดสอนในปี คศ. 1900
และมหาวิทยาลัยลอนดอนเปิดสอนในปี
คศ. 1908 แต่ที่มีการเรียกชื่อว่า
"สาขามานุษยวิทยาสังคม"
เป็นครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลตั้งตำแหน่ง
ศาสตราจารย์กิตติคุณให้แก่เจมส์
เฟรเซอร์ (James Frazer) เมื่อมี คศ.
19087
จากนั้น
ชื่อใหม่นี้ได้รับการยอมและเปลี่ยนจากสาขาชาติพันธุ์วิทยามาเป็นมานุษยวิทยาสังคมกันหมดทั่วสหราชอาณาจักร
ในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่
20 ลูกศิษย์ของมาลินอฟสกี้
และเรดคลิฟ-บราวน์ต่างสำเร็จการศึกษาและได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยทั่วอังกฤษและประเทศต่าง
ๆ ในเครือจักรภพ
บุคคลเหล่านี้ ได้แก่ E.E.
Evans - Pritchard, Edmund Leach, Lucy Mair, Max Gluckman, Mayer Fortes
และ Raymond Firth
และได้สร้างผลงานที่มีคุณค่ามากมายและมีชื่อเสียงก้องโลก
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2535)
ศาสตราจารย์เหล่านี้ต่างเกษียณอายุไปหลายปีแล้ว
3.
ยุคแห่งการแสวงหาทางเลือกใหม่
การศึกษาความสัมพันธ์ของคนตามแนวทฤษฎีโครงสร้าง
-
หน้าที่ซึ่งสร้างขึ้นโดยมาลินอฟสกี้และเรดคลิฟ-บราวน์ดังกล่าวแล้วข้างต้นเริ่มเกิดมีปัญหาขึ้นเมื่อมีผู้ต้องการนำไปใช้ศึกษาสังคมขนาดใหญ่และสังคมเมืองที่เกิดขึ้นทั่วไปในทวีปแอฟริกา
เอเชีย
และลาตินอเมริกาในช่วงตอนกลางของคริสต์ศตวรรษที่
20 ทั้งนี้เพราะทฤษฎีดังกล่าวมีข้อจำกัดที่ไม่อาจใช้ในการอธิบายสถานการณ์ของสังคมที่แตกต่างไปจากสังคมขนาดเล็กหรือสังคมดั้งเดิม
|