บทที่ 8 มานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม  >> หน้า 9

   
               
ความสัมพันธ์ทางสังคมที่กล่าวถึงนี้คนจะแสดงพฤติกรรมต่อกัน ซึ่งจะมีลักษณะเสมือนเป็นตาข่ายหรือสายใย (networks) ที่เชื่อมโยงกันและกันในหมู่สมาชิก ตาข่ายแห่งความสัมพันธ์นี้อาจแบ่งออกได้เป็นกลุ่ม ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในแง่ครอบครัว แง่การเมือง แง่การศึกษาและการ อบรมสั่งสอน แง่จริยศาสตร์ แง่ศาสนาและความเชื่อ และแง่เศรษฐกิจและเทคโนโลยี เป็นต้น

                กลุ่มของความสัมพันธ์ในแต่ละแง่นี้นั้นจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีต่อกันนาน จนเกิดเป็นแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ของความประพฤติที่เกี่ยวข้องในแง่นั้น ซึ่งเราเรียกว่าเป็น "สถาบันทางสังคม" (social institution) โดยจะเรียกกลุ่มของความสัมพันธ์แต่ละชนิดเป็นสถาบันหนึ่ง ๆ ในสังคม เช่น  สถาบันครอบครัว  สถาบันการเมือง  สถานบันการศึกษา  สถาบันจริยศาสตร์และศาสนา สถาบันนันทนาการ  และสถาบันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี  รายละเอียดของการเกิดขึ้นและการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถาบันแต่ละสถาบันจะได้นำไปกล่าวในบทที่ 9 - 14

                จะเห็นได้ว่า แนวการมองของนักมานุษยวิทยาของยุคนี้จะไม่ศึกษาสมาชิกของสังคมเป็นรายตัวหรือแต่ละบุคคล (individual)  แต่จะมองว่า สมาชิกแต่ละคนจะต้องดำรง "ตำแหน่ง" ทางสังคมและ "แสดงบทบาท" ไปตามที่สังคมคาดหวังให้กระทำเช่นนั้นเช่นนี้  อาทิเช่น ผู้เป็นพ่อจะต้องแสดงบทบาทในการเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำรงชีวิต รักลูกรักภรรยา สร้างฐานะและเลี้ยงดูครอบครัวและปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนทุกคน  หากผู้ใดทำหน้าที่นี้ครบสมบูรณ์ ก็จะถือว่าเป็นพ่อที่ดี หากไม่ทำการตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ ก็จะถือว่าเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ เป็นต้น

                เมื่อพฤติกรรมของสมาชิกของสังคมโยงใยและเป็นตาข่าย จึงมีการจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ตามสถาบันทางสังคมแต่ละประเภท ซึ่งสถาบันทางสังคมเหล่านี้ก็จะมีความสัมพันธ์ต่อกันและกลายเป็น "โครงสร้างทางสังคม" (social structure) ขึ้นมา เฉกเช่น เนื้อเยื่อ/เซลจะรวมกันเป็นอวัยวะแต่ละชิ้น เช่น  แขน  ขา  ลำตัว  หู  ตา  หัวใจ  และอวัยวะทุกชึ้นก็จะประกอบกันขึ้นเป็นโครงสร้างทางร่างกายของคนเรา  เราจึงเรียกแนวการมองสังคมแบบนี้ว่า  ทฤษฎีโครงสร้าง  อนึ่ง สถาบันทางสังคมแต่ละสถาบันก็จะมีหน้าที่เฉพาะอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมเพื่อให้สมาชิกดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข   เราก็เรียกแนวการมองตามหน้าที่ประโยชน์นี้ว่า ทฤษฎีหน้าที่   ต่อมา ก็มีการรวมทฤษฎีโครงสร้างและทฤษฎีหน้าที่เข้าด้วยกัน และตั้งชื่อว่า ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่  (Structural and Functional Theory)(6)