เมื่อมีการใช้สังคมเป็นหน่วยการศึกษา
ทำให้ต้องมองสังคมทั้งสังคมเสมือนหนึ่งการมองรูปร่างของมนุษย์ทั้งตัว
จึงอาจกล่าวได้ว่า
นักมานุษยวิทยาในยุคนี้จะไม่แยกศึกษาสังคมออกเป็นส่วนย่อย
แต่จะศึกษาสังคมทั้งสังคม
หรือที่เรียกว่า "วิธีการมองทั้งตัว"
(Holistic Approach)
ดูตัวอย่างของการศึกษาของนักวิชาการในยุคนี้ในเรื่อง
ยุคย้อนประวัติศาสตร์
ในหัวข้อเกี่ยวกับมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ในตอนถัดไป
2.
ยุคแห่งการวางรากฐานแห่งวิชา
เมื่อเรดคลิฟ-บราวน์และมาลินอฟสกี้พยายามก่อตั้งองค์แห่งความรู้ในสาขามานุษยวิทยาสังคมขึ้น
เรดคลิฟ-บราวน์ได้โต้แย้งว่า
การที่จะมองสังคมว่าเป็น
"สิ่งของ"
ดังเช่นนักวิชาการรุ่นก่อนนั้น
เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก
เขาจึงเสนอแนวทางการมองสังคมใหม่ว่า
คำว่าสังคมก็คือความสัมพันธ์
(social relations)
ที่สมาชิกสร้างขึ้นต่อกัน
ความสัมพันธ์นี้เองที่ทำให้คนในสังคมมีความเกี่ยวข้องผูกพันจนกลายเป็นสังคมขึ้นมา
นั่นหมายความว่า
ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นหัวใจหลักที่นักมานุษยวิทยาสังคมให้ความสนใจในการศึกษา
ทั้งนี้ เพราะรูปลักษณ์ของสังคมจะเป็นเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับแบบแผนของความสัมพันธ์ที่สมาชิกของสังคมแสดงออกต่อกันและกัน
โดยเราจะสังเกตได้จากการแสดงพฤติกรรม
(behavior)
ของสมาชิกของสังคมนั่นเอง
การแสดงออกหรือการสร้างความสัมพันธ์ต่อกันนั้น
สมาชิกของสังคมจะแสดงบทบาท
(role) ตามสถานภาพ (status)
ที่เขาดำรงอยู่ในสังคม
เช่น
คนมีสถานภาพเป็นลูกชายจะสร้างความสัมพันธ์กับพ่อแม่แตกต่างไปจากลูกสาว
คนโดยสารรถเมล์จะต้องจ่ายค่าโดยสารและเดินขยับไปยืนข้างในรถเมื่อมีคนโดยสารหลายคนขึ้นในป้ายถัดไป
ครูจะแสดงบทบาทในการเป็นผู้ให้ความรู้
ในขณะที่นักร้องจะมีบทบาทในการร้องเพลงเพื่อให้ผู้ฟังมีความสุขหรรษา
ฯลฯ ดังนั้น
บุคคลคนหนึ่งจะมีสถานภาพหลายสถานภาพ
เช่น
อยู่ที่บ้านก็จะเป็นลูก
ไปโรงเรียนก็จะเป็นนักศึกษาไปซื้อของก็จะเป็นผู้ซื้อ
เป็นต้น และการดำรงตำแหน่งในสังคมตามสถานภาพนั้น
จะต้องแสดงบทบาทตามที่สังคมคาดหวังว่าจะต้องแสดงพฤติกรรมอย่างไร
และ/หรือละเว้นการแสดงพฤติกรรมแบบใดแบบหนึ่งที่สังคมเห็นว่าไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม
|