บทที่ 8 มานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม  >> หน้า 4


ล้วช่วยกันสร้างองค์ความรู้เรื่องราวของสังคมวัฒนธรรมอื่นอย่างมีระเบียบแบบแผน ก็เกิดการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรมขึ้นโดยใช้ความรู้จากบันทึกต่าง ๆ ที่ได้รับเป็นพื้นฐาน ทำให้ความรู้ในเรื่องชาติพันธุ์เกี่ยวกับคนในสังคมอื่นเจริญรุ่งเรืองและได้รับความสนใจจากคนทั่วไป  ดังนั้น ในปี คศ. 1843 จึงได้เกิดสมาคมทางวิชาการชื่อ สมาคมการศึกษาชาติพันธุ์มนุษย์แห่งสหราชอาณาจักร (Ethnological Society of Great Britain) หรืออาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สถาบันการศึกษาวิชามานุษยวิทยา (Royal anthropological Institute) ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาทางด้านชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology)* รวมทั้งเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับสาขามานุษยวิทยากายภาพ สาขาโบราณคดีและสาขามานุษยวิทยาสังคม  อนึ่ง สถาบันแห่งนี้ได้ออกวารสารชื่อ The Journal of the Royal Anthropological Institute of Great Britain and Ireland (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น MAN) เพื่อเผยแพร่ผลงานของเหล่านักมานุษยวิทยา  ต่อมา เมื่อนักมานุษยวิทยาเริ่มออกไปหาความรู้ด้วยการไปอาศัยอยู่ร่วมกันคนในสังคมที่ต้องการศึกษา พวกเขาจำเป็นต้องศึกษาภาษาของคนในสังคมนั้น ๆ เพื่อที่จะสามารถเข้าใจสภาพและลักษณะของสังคมวัฒนธรรมอย่างถ่องแท้    ดังนั้น  สาขาภาษาศาสตร์จึงเป็นอีกวิชาหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในสถาบันดังกล่าว สถาบันการศึกษาวิชามานุษยวิทยาได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันทั้งในภาคทฤษฎีและภาคการออกสนามเพื่อการวิจัย     ทำให้ความรู้ในวิชามานุษยวิทยาเฟื่องฟูและเจริญก้าวหน้ากว้างไกลไปทั่วโลก

                นักวิชาการชั้นนำในสาขามานุษยวิทยาสังคม(4)  ได้ชี้แจงว่า  เป้าหมายหลักของวิชานี้ก็คือการศึกษาเกี่ยวกับ "สังคม" (society) โดยนำเอาความคิดพื้นฐานเริ่มแรกมาจากนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อ ออกัส ค้องท์ (August Comte  มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี คศ. 1798 - 1857) และชาวอังกฤษชื่อ เฮอร์เบอร์ท สเปนเซอร์ (Herbert Spencer 1820 - 1903) ผู้ซึ่งให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับสังคมว่าเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สังคมที่ว่านี้จะเกิดขึ้นและพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ จากสังคมดั้งเดิม จนกลายเป็นสังคมสมัยใหม่