แนวคิดพื้นฐานนี้ได้รับการแต่งเติมและขยายความอย่างละเอียดจากนักวิชาการชาวฝรั่งเศส
ชื่อ อีมิล เดอร์ไคลม์ (Emile
Durkheim 1858 - 1917) ที่ได้จำแนกสังคมของโลกในยุคนั้นออกเป็น
2 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่หนึ่งคือสังคมดั้งเดิม
ที่สมาชิกของสังคมมีจำนวนไม่มากนัก
อาศัยอยู่เป็นกลุ่มโดดเดี่ยวห่างไกลจากสังคมอื่น
มีโครงสร้างสังคมแบบง่าย
ๆ ไม่สลับซับซ้อน
และใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันแบบพื้นบ้าน ซึ่งเดอร์ไคม์เรียกสังคมชนิดนี้ว่า
Mechanical solidarity หรือ
หมายถึงสังคมที่ตั้งอยู่นอกทวีปยุโรป
*ชาติพันธุ์วิทยา
เป็นวิชาศึกษาสังคมวัฒนธรรมของชนกลุ่มต่าง
ๆ รวมทั้งมีการนำสังคม
วัฒนธรรมเหล่านั้นมาเปรียบเทียบเพื่อหาแบบแผน
และกฎของวัฒนธรรม
ชาติพันธุ์วรรณา
(Ethnography) เป็นการศึกษาสังคมวัฒนธรรมของแต่ละสังคม
ส่วนสังคมอีกประเภทหนึ่ง
คือ สังคมสมัยใหม่
หรือสังคมแบบ organic solidarity
เป็นสังคมที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนมาก
ดังเช่น
สังคมในยุโรปสมัยนั้นที่เป็นสังคมเมืองอุตสาหกรรม
มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นและมีความแตกต่างกันในด้านความสัมพันธ์ต่อกัน
ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม
และขนบธรรมเนียมประเพณี
มีการแบ่งซอยการทำงานออกเป็นส่วนย่อยตามความชำนัญพิเศษทั้งในโรงงานและงานอาชีพอื่น
ๆ
มีการดำเนินชีวิตแบบเร่งรีบ
และแข่งขันกันทำงาน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
คนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงและนิยมยกย่องความสำเร็จในชีวิตที่วัดด้วยวัตถุมากกว่า
นอกจากนี้
สังคมประเภทนี้ต้องติดต่อสัมพันธ์และพึ่งพากับสังคมอื่น
ๆ เพื่อธุรกิจการค้า
อุตสาหกรรม แรงงาน ฯลฯ
ต่อมา เดอร์ไคม์เขียนหนังสือชื่อ
กฎระเบียบการทำวิจัยทางสังคม
ขึ้นในปี คศ.18985
แต่ความสนใจของเขาโน้มเอียงไปในการศึกษา
"สังคมอุตสาหกรรม"
ซึ่งหนังสือของเขาเป็นการเสนอวิธีการศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการศึกษาสังคมของยุโรปเป็นหลักและเรียกการศึกษานี้ว่า
"วิชาสังคมวิทยา"
เมื่อนักมานุษยวิทยารุ่นบุกเบิก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบรนิสลอว์
มาลินอฟสกี้
(Bronislaw Malinowski)
และอัลเฟรด เรดคลิฟ-บราวน์ก็ได้นำแนวคิดการศึกษาสังคมไปใช้ในการศึกษาสังคมดั้งเดิมที่ตั้งอยู่นอกทวีปยุโรป
และเรียกว่า "วิชามานุษยวิทยา"
ดังนั้น
ชาวอังกฤษจึงกล่าวขวัญว่า
มาลินอฟสกี้และเรดคลิฟ-บราวน์เป็นผู้นำสำคัญในการวางรากฐานวิชามานุษยวิทยาสังคม
|