บทที่7  ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ปัจจุบัน  >> หน้า 8


                ดังนั้น องค์การยูเนสโกจึงลงความเห็นว่า...ในทางมานุษยวิทยา คำว่าชาติพันธุ์ใช้ในการแบ่งกลุ่มมนุษยชาติซึ่งมีลักษณะสีผิวทางด้านร่างกายแตกต่างกัน  ความแตกต่างกันนี้เป็นความแตกต่างขั้นพื้นฐานทางธรรมชาติและสืบต่อไปยังลูกหลานได้โดยทางพันธุกรรม  การจัดกลุ่มของมนุษย์โดยวิธีนี้  นักมานุษยวิทยาได้ใช้กฎเกณฑ์ของการแบ่งทางสัตวศาสตร์  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแบ่งตามหลักของชีววิทยา...  แต่ต้องขอย้ำว่าการแบ่งแยกกลุ่มซึ่งอาศัยชาติพันธุ์เป็นหลักนี้    "ไม่ใช้" เป็นสื่อสำคัญในทางมานุษยวิทยามากนัก ทั้งนี้ ลักษณะของความแตกต่างด้านอื่นซึ่งซับซ้อน และมีความหมายในเชิงนิตินัยยังมีอีกมาก... คนเราไม่ว่าจะเป็นคนมีผิวพรรณแบบไหน  ก็ย่อมมีจิตใจที่คล้ายคลึงกัน  บางคนเป็นคนดี  บางคนก็เป็นคนเลวควบคู่กันไป   คนทุกสีผิวอาจมีความรู้ความฉลาดและสามารถเท่าเทียมกันถ้าหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน

ขนาดของร่างกาย

                จากการที่โครงสร้างและรูปร่างทางร่างกายของมนุษย์มีขนาดแตกต่างกัน  ทำให้นัก  มานุษยวิทยากายภาพให้ความสนใจค้นหาสาเหตุของความแตกต่างดังกล่าว  ด้วยการตั้งสมมติฐาน เช่น  กฎทางสัตวศาสตร์ที่เรียกว่า Bergman's rule   กล่าวว่า กลุ่มมนุษย์ที่มีโครงสร้างทางร่างกายขนาดเล็กมักจะพบว่าอาศัยอยู่ตามบริเวณเส้นศูนย์สูตร ส่วนกลุ่มที่มีร่างกายสูงใหญ่จะพบในเขตอากาศหนาว5  เมื่อนำทฤษฎีนี้มาตรวจสอบกับข้อเท็จจริง  ปรากฏว่าในบางกรณีอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง  เช่น ชาวเอสกิโมมิได้มีขนาดร่างกายสูงใหญ่ทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่ในเขตขั้วโลก  อย่างไรก็ตาม ผู้ตั้งทฤษฎีก็ให้เหตุผลต่ออีกว่า แม้ว่าพวกเอสกิโมจะเตี้ย  แต่พวกเขาก็มีร่ายกายที่แข็งแรง  อกหนา  ขาสั้น  มีนิ้วมือนิ้วเท้าสั้น  ซึ่งลักษณะดังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาความร้อนของร่างกายได้เป็นอย่างดี  ในทางตรงกันข้าม ชาวแอฟริกันเผ่าไนโลติกที่อาศัยอยู่ในบริเวณเขตร้อนมีความสูงกว่า 180 ซม.ขึ้นไป  แต่พวกนี้กลับผอม  เอวบาง และลำตัวยาว แขนขายาว ลักษณะเช่นนี้มีความเหมาะสมต่อการมีชีวิตอยู่ในเขตร้อน