บทที่3  หลักเกี่ยวกับการวิวัฒนาการ  >> หน้า 9


แนวความคิดของชาลส์ ดาร์วินในเรื่องวิวัฒนาการ

          จากการเฝ้าสังเกตนับจำนวนเป็นพัน ๆ ครั้งตลอดระยะเวลาการเดินทางรอบโลกอันยาวนาน บวกกับความพยายามในการเก็บสะสมและวิเคราะห์พันธุ์พืชสัตว์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี ดาร์วินจึงได้ตั้งสมมติฐานว่า "สิ่งมีชีวิตทุกประเภทจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางธรรมชาติ" ส่วนปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกว่าการวิวัฒนาการก็คือ "การเลือกสรรตามธรรมชาติ" ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ในโลกของพืชและโลกของสัตว์ ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่าพืชและสัตว์มีลักษณะที่แตกต่างกันมากมายหลายชนิดดังที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

แนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรทางธรรมชาติตามทรรศนะของดาร์วิน มีดังต่อไปนี้

(1) พืชและสัตว์ทั้งหลายจะมีความแตกต่างกัน

(2) ทุกชีวิตจะเพิ่มปริมาณเป็นทวีคูณตามระบบเรขาคณิต

(3) ทุกชีวิตจะต้องปรับตัวและต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด(7)

          ดาร์วินและอัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ นักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยได้ย้ำว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ชี้ให้เห็นว่า ทุกชีวิตจะมีความสามารถในการผลิตลูกหลานในอัตราก้าวหน้า หรือทวีคูณตามระบบเรขาคณิต (พวกเขานำแนวคิดนี้มาจาก Thomas Malthus นักประชากรศาสตร์คนแรกที่กล่าวเตือนถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรว่าจะก่อให้เกิดปัญหาในการผลิตอาหารที่ไม่อาจเลี้ยงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว) แต่จำนวนลูกหลานที่ผลิตได้นี้จะมีมากกว่าจำนวนลูกหลานที่มีชีวิตรอด นั่นหมายความว่าลูกที่สามารถมีชีวิตรอดได้นั้นเป็นผลมาจาก "การต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด" (struggle for existence or survival)

          อนึ่ง ความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอดจะยังผลให้เกิดความแตกต่างทางรูป ร่างของลูกแต่ละคน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังลูกหลานรุ่นต่อมา จากกระบวนการนี้เองที่ดาร์วินเรียกว่า "การเลือกสรรตามธรรมชาติ" ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลานับตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว และดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันเรื่อยไปจนถึงอนาคต(8)

          ทฤษฎีของดาร์วินได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุคนั้น รวมทั้งได้มีการนำข้อสรุปที่ว่า "สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดได้" ไปใช้กับระบบเศรษฐกิจและระบบการเมือง รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ อย่างแพร่หลาย