แนวความคิดของชาลส์
ดาร์วินในเรื่องวิวัฒนาการ
จากการเฝ้าสังเกตนับจำนวนเป็นพัน
ๆ
ครั้งตลอดระยะเวลาการเดินทางรอบโลกอันยาวนาน
บวกกับความพยายามในการเก็บสะสมและวิเคราะห์พันธุ์พืชสัตว์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา
20 ปี
ดาร์วินจึงได้ตั้งสมมติฐานว่า
"สิ่งมีชีวิตทุกประเภทจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางธรรมชาติ"
ส่วนปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกว่าการวิวัฒนาการก็คือ
"การเลือกสรรตามธรรมชาติ"
ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ในโลกของพืชและโลกของสัตว์
ดังนั้น
เราจึงเห็นได้ว่าพืชและสัตว์มีลักษณะที่แตกต่างกันมากมายหลายชนิดดังที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
แนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรทางธรรมชาติตามทรรศนะของดาร์วิน
มีดังต่อไปนี้
(1)
พืชและสัตว์ทั้งหลายจะมีความแตกต่างกัน
(2)
ทุกชีวิตจะเพิ่มปริมาณเป็นทวีคูณตามระบบเรขาคณิต
(3)
ทุกชีวิตจะต้องปรับตัวและต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด(7)
ดาร์วินและอัลเฟรด
รัสเซล วอลเลซ
นักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยได้ย้ำว่า
ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ชี้ให้เห็นว่า
ทุกชีวิตจะมีความสามารถในการผลิตลูกหลานในอัตราก้าวหน้า
หรือทวีคูณตามระบบเรขาคณิต
(พวกเขานำแนวคิดนี้มาจาก
Thomas Malthus
นักประชากรศาสตร์คนแรกที่กล่าวเตือนถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรว่าจะก่อให้เกิดปัญหาในการผลิตอาหารที่ไม่อาจเลี้ยงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว)
แต่จำนวนลูกหลานที่ผลิตได้นี้จะมีมากกว่าจำนวนลูกหลานที่มีชีวิตรอด
นั่นหมายความว่าลูกที่สามารถมีชีวิตรอดได้นั้นเป็นผลมาจาก
"การต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด"
(struggle for existence or survival)
อนึ่ง
ความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอดจะยังผลให้เกิดความแตกต่างทางรูป
ร่างของลูกแต่ละคน
ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังลูกหลานรุ่นต่อมา
จากกระบวนการนี้เองที่ดาร์วินเรียกว่า
"การเลือกสรรตามธรรมชาติ"
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลานับตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว
และดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันเรื่อยไปจนถึงอนาคต(8)
ทฤษฎีของดาร์วินได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุคนั้น
รวมทั้งได้มีการนำข้อสรุปที่ว่า
"สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดได้"
ไปใช้กับระบบเศรษฐกิจและระบบการเมือง
รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ
อย่างแพร่หลาย
|