ตลอดระยะเวลาการเดินทางอันยาวนานเกือบ
5 ปี
ชาลส์ได้ใช้ความพยายามในการเก็บสะสมพืชและสัตว์แปลก
ๆ ใหม่ ๆ ที่พบตามจุดต่าง
ๆ
ที่เรือแวะจอดพักเพื่อนำมาศึกษารูปร่างโครงสร้าง
และเปรียบเทียบโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตอื่น
ๆ
ที่ได้มีการวิเคราะห์มาแล้วในเอกสารตำรา
นอกจากนั้นเขายังพยายามศึกษาถึงผลของสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติที่แตกต่างกันว่าจะมีผลต่อการดำรงชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละพันธุ์
(หรือแต่ละสปิชี่)
อย่างไร
เมื่อเรือได้หยุดพักที่หมู่เกาะกาลาปาโกส
(ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ใกล้กับประเทศโคลัมเบีย)
เขาสังเกตเห็นว่า
พันธุ์พืชและสัตว์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพันธุ์พืชและสัตว์ชนิดเดียวกันกับที่พบบนเกาะกาลาปาโกส
แต่ก็ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว
ดังนั้น
เขาจึงเลือกศึกษาเปรียบเทียบนกกระจาบ
13 ชนิด
ที่อาศัยบนเกาะต่าง ๆ
ในหมู่เกาะกาลาปาโกสเพื่อดูโครงสร้างทางร่างกาย
คือ จงอยปาก และขน
เขาก็พบว่า
นกดังกล่าวมีความแตกต่างกันทั้ง
ๆ
ที่สภาพแวดล้อมของแต่ละเกาะมิได้แตกต่างกันทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ
ด้วยเหตุนี้
เขาจึงตั้งคำถามว่า
อะไรคือสาเหตุที่ก่อให้เกิดความแตกต่างทางด้านร่างกายหากมิใช่เป็นผลมาจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
จากข้อสงสัยนี้เองทำให้ชาลส์ให้ความเชื่อทฤษฎีสถิต
(Theory of Fixity of Species) น้อยลง
และกลายเป็นจุดผลักดันที่สำคัญให้เขาพยายามค้นคว้าต่อไปเพื่อหาหลักฐานในการสร้างแนวความคิดใหม่ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีรูปร่างเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันออกไป
ชาลส์เดินทางกลับถึงประเทศอังกฤษในวันที่
2 ตุลาคม คศ. 1836
ช่วงเวลาเกือบห้าปีของการเดินทางรอบโลกครั้งนี้ก่อให้เกิดการเพิ่มพูนสติปัญญาแก่เขาเป็นอันมาก
หลังจากกลับมายังบ้านเกิดแล้วเขาได้ศึกษาบันทึกการค้นพบอย่างจริงจังและได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปอีก
ในที่สุด
เขาได้เขียนสรุปข้อคิดเห็นในเรื่องการเลือกสรรตามธรรมชาติเบื้องต้นเมื่อปี
คศ.1844
และอีกสิบห้าปีต่อมาเขาจึงได้พิมพ์เป็นหนังสือเล่มที่นำชื่อเสียงก้องโลกให้แก่เขา
ชื่อ On Origin of Species ในปี คศ. 1859
และในปี คศ. 1871
หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ
The Descent of Man
ก็ได้รับการตีพิมพ์ตามมา(6)
|