คนถัดมา คือ เฮราคลิตัส
(Heraclitus) ได้ย้ำว่า "ทุกสิ่งบนโลกนี้สามารถเคลื่อนไหวได้"
อันเป็นแนวทรรศนะใหม่ที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดที่เชื่อกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีสภาพคงที่
-
หยุดนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
ส่วนอริสโตเติล (Aristotle)
นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงได้อธิบายไว้ว่า
"ได้มีการพัฒนาจากจุลินทรีย์มาเป็นพืช
และในโลกนี้มีชุมชนของสรรพสิ่งอยู่ในธรรมชาติ"
ซึ่งคำว่าชุมชนตามแนวคิดนี้หมายถึงการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
มีการเกิด -
แตกดับของมวลสิ่งมีชีวิตในโลก
ในยุคอาณาจักรโรมัน
มีนักปรัชญาเมธีชื่อ
ลูเครติอุส (Lucretius)
ซึ่งมีชีวิตอยู่ราว 99
ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เขียนบทกลอนชิ้นหนึ่งชื่อ
De Rerum Natura โดยกล่าวว่า "พืชจะเกิดก่อนสัตว์
สัตว์ที่มีอวัยวะของร่างกายที่อยู่ในขั้นสูงขึ้นจะมีการแยกกลุ่มตามเพศ
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการจากสัตว์ชั้นต่ำกว่า
และสภาวะธรรมชาติที่ผันแปรจะก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดแปลกใหม่ที่มีสภาพร่างกายที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมใหม่นั้น"
จากบทกลอนนี้
อาจถึอได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมาโดยนำแนวความคิดของลูเครติอุสมาขบคิดกันในหมู่นักปราชญ์
และร่วมกันแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ตาม
การศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการชาวตะวันตกได้หยุดชะงักลงภายหลังที่คริสต์ศาสนาได้แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรป
ทั้งนี้เพราะคำภีร์ไบเบิลมีคำสอนที่สวนทางกับแนวทรรศนะดังกล่าวแล้วข้างต้น
ซึ่งคำภีร์ไบเบิลกล่าวว่า
สรรพสิ่งในโลกและมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง
และผู้นำของศาสนาคริสต์ยังได้ห้ามมิให้ผู้ใดเสนอแนวคิดที่ผิดแปลกไปจากพระคำภีร์
ดังนั้น
ในยุคกลางของยุโรปจึงเป็นยุคที่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
เพราะผู้คนต้องยอมรับและกระทำตามคำอธิบายของศาสนาในเรื่องการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและมนุษยชาติทั้งมวล(1)
ดังนั้น
ในยุคนี้คำตอบที่ได้รับจากศาสนาและนิยายปรัมปราที่คนในแต่ละสังคมแต่งขึ้นกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแน่นแฟ้น
ตัวอย่างเช่น เซนต์
ออกัสติน (คศ. 354 - 430)
ได้อธิบายว่า "มนุษย์ทุกชีวิตในโลกสืบสายตระกูลมาจากอาดัมและอีวา
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษคู่แรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นเมื่อราว
6,000 ปีมาแล้ว(2)
ส่วนในทางซีกโลกตะวันออกชาวเขาเผ่าเย้าที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาแถบเอเชียอาร์คเนย์ก็มีความเชื่อว่า
"แต่เดิมมีเทวดาชื่อ
เปี้ยนโกฮูงเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ผู้ชายผู้หญิงขึ้น
รวมทั้งอนุญาตให้สมสู่เป็นสามีภรรยากันได้
|