ดังนั้น
การศึกษาจากข้อเท็จจริง
จากหลักฐานที่ค้นพบ
จากการสังเกต
การวัดขนาดและการคำนวนอายุของหลักฐานที่ได้รับ
เราเรียกว่าการเรียนรู้จากข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้
(empirical study)
อันถือได้ว่าเป็นหัวใจของการศึกษาของวิชานี้
ด้วยเหตุนี้
จึงเห็นได้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีห้องทดลอง
(laboratory) ที่มีเครื่องมือ
เครื่องใช้
และวัสดุอุปกรณ์ในการทดสอบ
รวมทั้งมีตัวอย่างอวัยวะ
โครงกระดูกของไพรเมตที่มิใช่มนุษย์
และของโฮมินิดทั้งที่เป็นของจริงและของจำลองมาจากของจริง
(artifacts)
เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาสามารถทำการค้นคว้าวิจัย
ซากอวัยวะที่ได้รับจากการออกไปขุดค้นและค้นหาตามแหล่งต่าง
ๆ ของโลกนั้น
บางครั้งก็พบโดยบังเอิญ
เช่น จากแหล่งที่ดินถล่ม
การขุดเพื่อสร้างตึกสร้างสะพาน
และการขุดแหล่งแร่ ฯลฯ
ดังนั้น
นักมานุษยวิทยากายภาพจึงต้องตื่นตัวอยู่เสมอ
เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อรับรู้ข่าวสาร
และพร้อมที่จะเดินทางไปยังแหล่งเหล่านั้นเพื่อศึกษาซากกระดูกและภูมิประเทศรอบข้างให้ละเอียด
อันจะเป็นข้อมูลสำคัญในการอธิบายถึงการมีชีวิตอยู่ของไพรเมตนั้น
ๆ
ส่วนความพยายามและความอดทนที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของไพรเมตที่มิใช่มนุษย์ก็เป็นตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่นักมานุษยวิทยาจะต้องศึกษาโครงสร้างทางร่างกายของสัตว์เหล่านี้อย่างละเอียดก่อนที่จะออกไป
"เฝ้าสังเกต"
และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมัน
(นักมานุษยวิทยาบางคนอาจนำสัตว์เหล่านี้มาเลี้ยงไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานเพื่อศึกษา)
อนึ่ง
ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาจะต้องบันทึกเสียง
จดบันทึกถึงอากัปกริยาและพฤติกรรมทุกประเภท
นับตั้งแต่พฤติกรรมของลูกอ่อนไปจนถึงจ่าฝูง
ตัวผู้-ตัวเมีย
และตั้งแต่มันตื่นนอนไปจนถึงการเข้านอน
นอกจากนี้จะต้องดูอาการดีใจ
โกรธ เศร้าใจ ฯลฯ อีกด้วย
บันทึกเหล่านี้จะนำมาวิเคราะห์และเขียนเป็นรายงานการวิจัยเพื่อเผยแพร่เป็นความรู้แก่ผู้สนใจ
อันเป็นการสร้างองค์ความรู้แก่มวลมนุษยชาติ
อย่างไรก็ตาม
เราจะต้องนำความรู้ที่ได้มาต่อเติมการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการของการวิวัฒนาการ
มิใช่แยกเป็นหน่วยการศึกษาออกต่างหาก
|