บทที่2  ขอบเขตของวิชามานุษยวิทยากายภาพ >> หน้า 5


                 
การศึกษาพฤติกรรมของไพรเมตที่มิใช่มนุษย์ (nonhuman primates) ได้กระทำกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศึกษาเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ร่วมกันในสภาพธรรมชาติจริง ๆ ตัวอย่างที่สำคัญของความพยายามในเรื่องนี้ ได้แก่ นักมานุษยวิทยากายภาพชื่อ เจน กูดเดลล์ได้ศึกษาพฤติกรรมของลิงในแถบแอฟริกาตะวันออก2 การศึกษาของฟิลลิส ฮอลินาวที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของลิงแลงเกอร์ในประเทศอินเดีย การศึกษาของไดแอน ฟอสซี่เกี่ยวกับลิงกอริลล่าในประเทศแองโกล่า การศึกษาบิรูเต กอลดิกาส-บรินดามอร์เกี่ยวกับลิงอุรังอุตังในหมู่เกาะบอร์เนียว นอกจากนี้ยังมีการศึกษาลิงแบมบูนในแอฟริกาและลิงมาคัสในตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น (รายชื่อผู้ศึกษาทั้งหมดนี้เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น)  

                การศึกษาพฤติกรรมของไพรเมตที่มิใช่มนุษย์ หรือที่เรียกแยกย่อยว่า วิชาไพรเมตวิทยา (Primatology) ที่เพิ่งกล่าวถึงนี้ นักมานุษยวิทยากายภาพหญิงมีบทบาทสำคัญยิ่ง โดยงานของพวกเธอก็คือการออกไปอาศัยอยู่ร่วมกับวานรดังกล่าวเป็นระยะเวลานานจนเกิดความคุ้นเคยระหว่างกัน จากนั้นก็ศึกษาภาษาพูด นิสัย ลักษณะการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ความสามัคคีและการทะเลาะ วิวาทกัน การใช้มือใช้เท้าในการหยิบฉวยสิ่งของ และการตรวจกลุ่มเลือด นักมานุษยวิทยาเหล่านี้จะจดบันทึกแล้วนำมาวิเคราะห์ภายหลังที่ใช้เวลาในการศึกษานานนับหลายปี และมีบางคนที่ใช้เวลานานกว่าค่อนชีวิตในการศึกษาวิจัย

                เมื่อนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาพวกไพรเมตที่มีชีวิตอยู่มาเปรียบเทียบกับซากกระดูกของไพรเมตโบราณ ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงโครงสร้างทางร่างกายและพฤติกรรมของพวกไพรเมตอย่างมีเหตุมีผลได้ดียิ่งขึ้น

                ส่วนการศึกษากลุ่มไพรเมตในสกุลโฮโมนั้น มีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิชามนุษย์โบราณวิทยา (Human Paleotology) วิชานี้จะทำหน้าที่วิเคราะห์ซากโครงกระดูก และชิ้นส่วนกระดูกที่ค้นพบ (fossil remains) โดยจะทำงานร่วมกับนักโบราณคดี นักธรณีวิทยา และนักกายวิภาคศาสตร์ด้วยการออกไปขุดค้นและค้นหาอวัยวะที่หลงเหลือ (ส่วนใหญ่จะเป็นกระดูก) ตามส่วนต่าง ๆ ของโลกเพื่อนำซากเหล่านั้นมาคำนวนอายุ วัดขนาด และพยายามสร้างเป็นรูปร่างจำลองเป็นตัวคนขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อศึกษาวิเคราะห์ลำดับขั้นของโฮโมที่พัฒนาเรื่อยมาจนเป็นโฮโม เซเปียนส์