ลัทธิความเชื่อพื้นบ้าน
หากเราออกไปทำการศึกษาเรื่องความเชื่อของชาวเขาเผ่าเย้าในยุคปัจจุบัน
ผลการวิเคราะห์อาจพบว่าคนในสังคมนี้ได้รับเอาหลักคำสอนของศาสนาหลักเข้าไปปฏิบัติควบคู่ไปกับการยึดถือความเชื่อตามลัทธิธรรมเนียมแบบดั้งเดิม
ทำให้รูปแบบการนับถือศาสนามีลักษณะแปลกแตกต่าง
ไปจากการนับถือของคนในเมือง
นักมานุษยวิทยาเรียกว่า
ลัทธิความเชื่อพื้นบ้าน (little
tradition)
ส่วนการนับถือของคนเมืองนั้นส่วนใหญ่จะกระทำตามหลักคำสอนของศาสนาที่มีการเขียนบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในทุกขั้นตอน
หรือที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า
ความเชื่อตามศาสนาหลัก (great
traditon) ดังนั้น
เราจึงมักเห็นรายงานการวิจัยสังคมที่พยายาม
วิเคราะห์ระบบความเชื่อทั้งสองระบบเมื่อต้องการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมเกี่ยวกับศาสนา
นักมานุษยวิทยาได้ให้ความสนใจศึกษาความเชื่อพื้นบ้านกับความเชื่อตามหลักศาสนาอย่างจริงจัง
ทั้งนี้เพราะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือการดำเนินชีวิตของคนในแต่ละสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของชุมชนเล็ก
ๆ
ลัทธิความเชื่อเป็นเสมือนกฎเกณฑ์กำหนดแนวทางการดำรงชีวิตของสมาชิกสังคมทีเดียว
อีกทั้งระบบความเชื่อประเภทนี้ยังไม่ได้พัฒนาให้ก้าวหน้าดังเช่นศาสนาหลัก
กฎและข้อห้ามมักเป็นสิ่งที่ส่งผ่านมาโดยคำบอกเล่า
ด้วยเหตุนี้
นักมานุษยวิทยาจึงจำเป็นจะต้องประมวลความรู้และหาวิธีการศึกษาที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะสามารถบันทึกความรู้ความเข้าใจลัทธิความเชื่อพื้นบ้านได้อย่างละเอียด
ในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้
เราอาจจำแนกประเด็นสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวการศึกษาดังนี้
1.
บุคคลที่เป็นผู้นำและผู้ทำหน้าที่ทางด้านพิธีกรรม
นักมานุษยวิทยาจะต้องให้ความสนใจศึกษาบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน
และ/หรือมีอำนาจลึกลับในตัวหรือมีความรู้ความชำนาญที่ได้รับจากการฝึกฝนเป็นพิเศษในการทำหน้าที่เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมทางพิธีกรรม
คนเหล่านี้จะได้รับความสนใจโดยต้องค้นหาคำตอบว่าสาเหตุใดที่ทำให้เขามีบทบาทเด่นขึ้นมา
เขามีประวัติชีวิตและมีสายตระกูลมาจากไหน
และสถานภาพในสังคมเป็นอย่างไร
ในที่นี้ขอจำแนกออกเป็น 3
ประเภท คือ
|