บทที่
13
ความเชื่อ
ศาสนาและการควบคุมทางสังคม
ในสภาพที่เป็นจริงในสังคมใหญ่เช่นสังคมไทยของเรา
ศาสนาหลักอันได้แก่
พุทธศาสนา คริสต์ศาสนา
และศาสนาอิสลาม
ไม่ได้มีปรากฏหรือมีอิทธิพลเหนือความคิดความเชื่อของสมาชิกสังคมทุกคนทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนบางกลุ่มบางคนยึดถือความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งที่มีแบบแผนและวิธีประพฤติปฏิบัติแตกต่างไปจากศาสนาหลัก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ได้แก่ เมืองกรุงเทพฯ
ที่ซึ่งพุทธศาสนา (และศาสนาหลักอื่น
ๆ)
ปรากฏเด่นชัดว่าเป็นศาสนาสำคัญ
ที่คนในเมืองหลวงให้ความนับถือและปฏิบัติตาม
แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากให้ความสำคัญกับ
"ศาลพระพรหม"
ที่ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
และคนบางกลุ่มให้ความเคารพนับถือ
"ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง"
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณข้างสนามหลวง
การให้ความเคารพนับถือเทวสถานดังกล่าวมิได้เป็นเพียงความนึกคิดภายในจิตใจเท่านั้น
แต่ยังได้แสดงออกทั้งกายและวาจาด้วยการกราบไหว้บูชา
เซ่นสรวง อธิฐานบนบาน
บริจาคทรัพย์และสิ่งของ
และแสดงความเคารพในขณะที่ย่างกรายผ่านไปมาทุกวี่ทุกวัน
เทวสถานทั้งสองแห่งนี้มีอิทธิพลเหนือจิตใจของผู้ซึ่งมาจากหลายอาชีพ
ต่างฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
และต่างเชื้อชาติต่างภาษา
ดังข่าวคราวเมื่อเร็ว ๆ
นี้ที่กล่าวว่า
มีนักธุรกิจชาวฮ่องกงเดินทางมาบนบานศาลพระพรหมเพื่อให้ธุรกิจการค้าของตนเจริญก้าวหน้า
ต่อมา
เขาก็ประสบความสำเร็จในกิจการงานจริง
ๆ จึงกลับมาแก้บนที่ให้ไว้
รวมทั้งเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ
-
ฮ่องกงทุกปีเพื่อจุดประสงค์มากราบไหว้ศาลพระพรหม
ซึ่งรวมกันนับเป็นจำนวนสิบ
ๆ ครั้งแล้ว
ส่วนท้องถิ่นตามชนบทที่อยู่ห่างไกลที่ศาสนาหลักยังเข้าไปไม่ถึง
หรือลัทธิความเชื่อยังไม่พัฒนาถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นศาสนาได้
สมาชิกของสังคมเหล่านั้นก็มีประเพณีความเชื่อที่น่าสนใจ
และจะมีแบบแผนที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละสังคม
ลัทธิประเพณีความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิถีทางการดำเนินชีวิต
และเป็นเสมือนกฎเกณฑ์การควบคุมทางสังคมเพื่อป้องกันมิให้มีการประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง
ทั้งนี้เพราะสังคมเหล่านี้ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้เป็นลายลักษณ์อักษร
ดังตัวอย่างลัทธิความเชื่อของชาวเขาเผ่าเย้าต่อไปนี้
|