บทที่9  ระบบเศรษฐกิจเทคโนโลยีและสภาพนิเวศ >> หน้า 19

 
                  4. ชาวนาในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก อ่างทอง และสิงห์บุรีจะเลี้ยงไก่ โดยเลี้ยงเป็นเล้าขนาดใหญ่ราว 2,000 - 3,000 ตัวต่อหนึ่งเล้า พวกเขาจะทำสัญญากับบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่ตามเงื่อนไขที่ว่า บริษัทจะขายลูกไก่ อาหารสัตว์ และส่งสัตวแพทย์สัตวบาลออกไปดูแลตลอดระยะเวลาที่เลี้ยง คือ 48 วัน จากนั้นบริษัทจะรับซื้อไก่โตในราคาประกันทั้งหมด ชาวนาประเภทนี้มีชื่อเรียกว่า ผู้เลี้ยงไก่ประกัน (contact farmers) การเลี้ยงไก่แบบนี้ต้องใช้เทคนิคการเลี้ยงชั้นสูงเพราะต้องมีการวิจัยคัดเลือกสายพันธุ์โตเร็วและผลิตอาหารไก่ที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ตลอดจนต้องเอาใจใส่ดูแลและฉีดยารักษาโรค รวมทั้งทำความสะอาดเล้าไก่สม่ำเสมอ จึงจะให้ผลผลิตสูงตามที่ต้องการ  ปัจจุบัน วิธีการเกษตรกรรมที่มีการทำสัญญากับบริษัทขนาดใหญ่อย่างนี้ได้ขยายกว้างออกไปครอบคลุมการเกษตรหลายแขนงและตามท้องที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น การเลี้ยงเป็ด สุกร และการปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ยาสูบ ยูคาลิบตัส เป็นต้น ทำให้การเกษตรของไทยพัฒนาก้าวหน้าไปไกลอันเป็นผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การเกษตร คือ การผสมข้ามสายพันธุ์ การเพาะกล้าด้วยเนื้อเยื่อ การผลิตอาหารสัตว์ และการผลิตปุ๋ยสูตรพิเศษ เพื่อนำมาช่วยในการผลิตและลดระยะเวลาในการผลิตให้สั้นลง รวมทั้งให้ได้รับผลผลิตสูงสุดด้วย

                นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีประดิษฐกรรมอื่น ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเงินเครื่องเขิน การสานตระกล้า การแกะสลักไม้ งานโลหะ และการแกะสลักหิน รวมทั้งงานด้านอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมาก งานเหล่านี้มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของแต่ละชุมชน และมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่สร้างสมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษบวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ได้รับผลผลิตจำนวนมากเพียงพอกับความต้องการภายในสังคมและส่งออกไปขายที่อื่น นักมานุษยวิทยาให้ความสำคัญและพยายามค้นหารายละเอียดเพื่อบันทึก"เทคโนโลยี" เหล่านี้และวิเคราะห์ดูว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับแบบแผนการดำรงชีวิตของคนในแต่ละสังคม(13)