โมเลกุลดีเอ็นเอประกอบด้วยสารทางเคมี
4 ตัว ได้แก่
adenine, guanine, cytosine และ thymine
นอกจากนี้
ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลและฟอสเฟต
อันเป็นตัวนำคุณลักษณะทางพันธุกรรม(4)
การค้นพบโมเลกุลดีเอ็นเอในระหว่างปี
ค.ศ. 1951 - 1953 นั้น เป็นความสำเร็จของวงการวิทยาศาสตร์ทางชีวภาพของโลกในการไขความกระจ่างเรื่องกลไกการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เพราะเป็นการเปิดเผยความเร้นลับทฤษฎีวิวัฒนาการที่ผู้คนต่างทุ่มเทความพยายามในการค้นหาคำตอบในเรื่องนี้นับเป็นเวลาหลายร้อยปี
ผู้ที่ค้นพบโมเลกุลดีเอ็นเอ
ก็คือ เจมส์ วัทสัน (James D. Watson)
ฟรานซิส คริค (Francis Crick) และมอริซ
วิลกินส์ (Maurice Wilkins)
ในขณะที่พวกเขาทำการวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ประเทศอังกฤษ
และสามารถ
ทำภาพจำลองโครงสร้างของโมเลกุลดีเอ็นเอได้เป็นผลสำเร็จ
จากผลงานดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์และกายวิภาคศาสตร์
ในปี ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505)
อันเป็นการแสดงถึงเกียรติประวัติในความวิริยะ
อุตสาหะ ของพวกเขา
ต่อมา
มีการค้นพบโมเลกุลอีกตัวหนึ่ง
ชื่อ Ribonucleic Acid (RNA)
ที่ทำหน้าที่เป็นตัวนำคุณลักษณะทางพันธุกรรมไปสู่ลูกหลานเช่นเดียวกัน
โมเลกุลอาร์เอ็นเอนี้พบในนิวเคลียสและไซโตปลาสซึ่ม
ผู้ทำการค้นพบโมเลกุลชนิดนี้คือ
ซิดนีย์ อัลทแมน (Sidney Altman) และโธมัส
เค็ค (Thomas Ceck)
ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ชาวอเมริกันเมื่อปี
ค.ศ. 1978 และทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีเมื่อปี
ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) กล่าวกันว่า
ผลการค้นพบในเรื่องนี้ทำให้ต้องเปลี่ยนบทเรียนวิชาเคมีเพื่อให้เข้ากับความรู้ที่ค้นพบใหม่นี้จำนวนหลายบททีเดียว(5)
ในหนังสือเล่มนี้
ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วยความรู้ที่ค้นพบในคริสต์ศตวรรษที่
20
ทำให้นักวิทยาศาสตร์อธิบายความเร้นลับของกลไกการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อย่างสมเหตุสมผลและสามารถตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนมิได้อธิบายถึงรายละเอียดของโครงสร้างของดีเอ็นเอ
(DNA : structure) ระหัสการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของดีเอ็นเอ
(DNA : The genetic
code)
และกระบวนการของการนำคุณลักษณะของพ่อแม่ไปยังลูกหลานของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ
(DNA : process)
ผู้สนใจอาจหาอ่านได้จากหนังสือเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ทั่วไป(6)
|