บทที่3  หลักเกี่ยวกับการวิวัฒนาการ  >> หน้า 12


          จากตัวอย่างดังที่เพิ่งกล่าวถึงนี้อาจเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลงระบบหรือแบบแผนของความถี่ภายในยีนแต่ละตัว หากยีนได้รับการถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลาน ก็จะนำความแตกต่างนี้ไปด้วย ทำให้เราสามารถดูความแตกต่างจากกลุ่มประชากรในช่วงอายุหนึ่งกับกลุ่มประชากรในอีกช่วงอายุหนึ่งได้ ซึ่งเราเรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า "การวิวัฒนาการระดับจุลภาค" และหากเราเฝ้าสังเกตเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่นดูการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างจากหัวกะโหลกของลิอุรังอุตังมาเป็นหัวกะโหลกของมนุษย์โฮโม เซเปียนส์ ซึ่งช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงยาวนานนับล้านปี เราเรียกการเปลี่ยนแปลงชนิดนี้ว่า "การวิวัฒนาการระดับมหัพภาค"

หลักที่ก่อให้เกิดการวิวัฒนาการ (Principles of evolution)

          เมื่อเรายอมรับกันว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในหรือภายในตัวยีน (ซึ่งจะได้กล่าวอย่างละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างทางชีวภาพของยีนและโมเลกุลดีเอ็นเอในบทถัดไป) ของสิ่งมีชีวิตแต่ละสปิชี่ จะก่อให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้น ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงหลักหรือกระบวนการสำคัญที่ยังผลให้สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันเกิดความแตกต่างกันและในที่สุดกลายเป็นพันธุ์หรือสปิชี่ใหม่ขึ้นมา หลักต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

1. การผ่าเหล่าหรือมิวเทชั่น (mutation)

          การผ่าเหล่าหมายถึงการเริ่มต้นของความแตกต่างทางพันธุกรรม(10) โดยที่ยีนและ/หรือโครโมโซมที่เกิดจากการผสมพันธุ์ในขั้นไมโอซีสได้เกิดการผ่าเหล่าขึ้น ซึ่งจะมีลักษณะที่แปลกแตกต่างจากยีนและ/หรือโครโมโซมตัวอื่น ๆ ออกไป ยีนและ/หรือโครโมโซมผ่าเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกหลาน ทำให้ลูกหลานที่ได้รับยีนผ่าเหล่ามีลักษณะโครงสร้างแตกต่างจากพ่อแม่ หากยีนผ่าเหล่ามีการผสมพันธุ์เพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกหลานรุ่นถัดไป การเปลี่ยนแปลงก็จะขยายตัว และอาจกลายเป็นพันธุ์ใหม่ต่อไป

          การผ่าเหล่าที่กล่าวถึงนี้จะต้องเกิดขึ้นในยีนของเซลสืบพันธุ์ (sex cell) จึงจะเกิดการวิวัฒนาการขึ้น ทั้งนี้เพราะจะมีการถ่ายทอดการผ่าเหล่า (ความเปลี่ยนแปลง) นี้ต่อไปยัง ลูกหลาน แต่หากการผ่าเหล่าเกิดขึ้นกับยีนของเซลประเภทอื่น การวิวัฒนาการก็จะไม่บังเกิดขึ้นเพราะจะไม่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม