บทที่5  ไพรเมตกับบรรพบุรุษของมนุษย์  >> หน้า 3


                 (9) มีการพัฒนาการใช้สายตาได้ดี  ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการขยายส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น  ทั้งนี้ เพราะไพรเมตลดการดมกลิ่นลง จึงจำเป็นต้องใช้สายตาเพื่อการมองเห็น  รวมทั้งสามารถพัฒนาการมองเห็นสิ่งของตามสีสันธรรมชาติได้อีกด้วย

                (10)ขนาดของสมองใหญ่ขึ้นและมีความสลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น   เช่น สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับสายตา  กับการคิด  และกับการใช้ภาษา  เป็นต้น

                  (11) มีวิธีการเลี้ยงทารกที่มีประสิทธิภาพ  รวมทั้งใช้เวลาตั้งครรภ์ยาวนาน

                  (12) จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อแม่เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ   ดังนั้น ช่วงการเป็นทารกและเป็นเด็กจึงมีระยะเวลายาวนาน

                  (13) ตัวผู้ (เพศชาย)  จะอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างถาวร  ซึ่งผิดกับสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่นที่ตัวผู้จะอยู่กับครอบครัวไม่นาน(1)

                กล่าวโดยสรุป  ไพรเมตก็คือสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลังและเลี้ยงลูกด้วยนม แต่มีคุณลักษณะบางประการที่แตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่นดังที่เพิ่งกล่าวมาแล้วเพราะได้วิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

                ไพรเมตรุ่นแรกเกิดขึ้นบนโลกเมื่อราว 65 ล้านปีในตอนต้นของยุคซีโนโซอิก (หรือมีชื่อเรียกเป็นยุคย่อยว่า พาลิโอซีน  อยู่ในระหว่าง 65 - 58 ล้านปีมาแล้ว)  อากาศในยุคนั้นเริ่ม อบอุ่นขึ้น  มีป่าไม้และอาหารอุดมสมบูรณ์

                นักมานุษยวิทยาศึกษาเรื่องราวของพวกไพรเมต  2  วิธี คือ

                  (1) ศึกษาจากซากดึกดำบรรพ์ที่เก็บหรือขุดค้นพบจากใต้ดิน  แล้วนำมาพิสูจน์เพื่อทำความเข้าใจลักษณะโครงสร้างทางร่างกายของไพรเมตแต่ละยุค  จนกลายเป็นมนุษย์  เราเรียกการศึกษาในสาขานี้ว่า  มานุษยวิทยาสาขาโบราณศึกษา (Paleoanthropology)(2)

                   (2) ศึกษาจากไพรเมตที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการเปรียบเทียบโครงสร้างทางร่างกายและพฤติกรรมของไพรเมตแต่ละชนิด   เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสายพันธุ์และสายการวิวัฒนาการ เราเรียกการศึกษาในสาขานี้ว่า มานุษยวิทยาสาขาไพรเมตศึกษา (Primatology)(3)